ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ระบบการปรับรื้อ

จำนวนผู้เยี่ยมชมหน้านี้

Reengineering  คือ  “การรื้อปรับระบบ”   ซึ่งมีหลายความหมายดังต่อไปนี้

                  1. การเริ่มต้นกันใหม่โดยไม่ยึดติดกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตจนถึงปัจจุบัน  ละทิ้งกระบวนการที่ทำมายาวนานนำกระบวนการใหม่ที่ทันสมัยตามที่สภาพงานในขณะนั้นต้องการ  เพื่อที่จะสร้างสินค้าหรือบริการที่ให้คุณค่าแก่ผู้บริโภค

        2. พิจารณาหลักการพื้นฐาน  (Fundamental)  อีกครั้ง และออกแบบกระบวนการทางธุรกิจ  (Business  process)  อีกครั้ง ชนิดที่เรียกว่า  อย่างถอนรากถอนโคน  (Radical  redesign)  เพื่อก่อให้เกิดการปรับปรุงที่ยิ่งใหญ่อย่างเห็นได้ชัด  (Dramatic)  มีหลักเกณฑ์ที่ใช้วัดผลการดำเนินธุรกิจ  ได้แก่  ด้านต้นทุน  คุณภาพ  การบริการ   และความรวดเร็ว   โดยรีเอ็นจิเนียริ่งจะเน้นเรื่องกระบวนการ  (Process  orientation)  ความปรารถนาที่แรงกล้า (Ambition)  การไม่ยึดติดกับกฎข้อบังคับเดิม (Rule  breaking)  และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ  (Information  Technology)

             3. รูปแบบการนำกระบวนการบริหารจัดการใหม่มาแทนกระบวนการที่ใช้อยู่เดิมอย่างถอนรากถอนโคนหรือเป็นการคิดค้นหากระบวนการดำเนินกิจการขึ้นมาใหม่  เพื่อฉกฉวยข้อได้เปรียบจากการเปลี่ยนแปลงของสังคมและเทคโนโลยี   หลักการของรีเอ็นจิเนียริ่งจึงต้องขึ้นอยู่กับการตอบสนองต่อกลยุทธ์หลักขององค์การธุรกิจนั้นทั้งในด้านการตลาด  การผลิต   การบริการ  และ อื่นๆ  เพื่อให้ได้มาซึ่งได้ข้อได้เปรียบในเชิงการแข่งขัน

               จากความหมายข้างต้น   การรีเอ็นจิเนียริ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำทั้งองค์การ   และดำเนินการทุกด้านทั้งการตลาด   การผลิต  การบุคลากร  การบริการ   และกับทุกระบบที่สามารถทำให้เกิดประสิทธิภาพแก่องค์การ   ดังนั้นการรีเอ็นจิเนียริ่งองค์การจึงไม่ใช่การปรับปรุงเครื่องมือสมัยใหม่  (Retool)  เพียงอย่างเดียวแต่จะต้องมีการคิดใหม่  (Rethink)   การออกแบบใหม่(Redesign)  และการปรับปรุงเครื่องมือสมัยใหม่  (Retool)   

                การเลือกกระบวนการรีเอ็นจิเนียริ่งนั้น  ไมเคิล   แฮมเมอร์  และเจมส์  แชมปี้   ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้  3   ประการ  คือ 
              (1) กระบวนการใดมีปัญหาหนักมากที่สุด   
              (2)กระบวนการใดส่งผลกระทบต่อลูกค้าของบริษัทมากที่สุด 
              (3)ความเป็นไปได้ที่จะประสบผลสำเร็จในการรีเอ็นจิเนียริ่งกระบวนการนั้น


ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อความสำเร็จในการทำรีเอ็นจิเนียริ่ง มีดังนี้

             1.ใช้กลยุทธ์เป็นตัวนำ  ก่อนอื่นต้องพิจารณาว่าอยากให้ธุรกิจของเราเป็นธุรกิจอะไรและแบบใดในอนาคตแล้วพยายามมองหาวิธีการที่จะสร้างผลกำหรจากธุรกิจนี้ เช่น การปรับกลยุทธ์มาเน้นการผลิตและการบริการที่สร้างความได้เปรียบเชิงการแข่ง่ขัน  โดยเป็นองค์การที่มีต้นทุนต่ำที่สุด  และสามารถเพิ่มคุณค่าในสินค้าและบริการได้การปฏิบัติการไปในลักษณะใด

           2.ต้องอาศัยการริเริ่มและการบังคับบัญชาโดยผู้บริหารระดับสูง การรีเอ็นจิเนียริ่งเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานหลายหน่วยงานในบริษัท  ซึ่งอาจต้องมีการปรับปรุงขั้นตอนต่อเนื่องกันระหว่างแต่ละหน่วยงาน  ดังนั้นผู้บริหารที่มีอำนาจเพียงพอเท่านั้นจึงจะสามารถดูแลตรวจสอบกระบวนการตั้งแต่ต้นจนจบ และทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานระหว่างหน่วยงาน

          3.สร้างบรรยากาศของความเร่งด่วน บางครั้งการรีเอ็นจิเนียริ่งอาจไม่บรรลุผลสำเร็จ  เพราะสาเหตุมาจากแรงกดดันด้านการเมืองภายในบริษัท  ดังนั้นผู้บริหารจะต้องสร้างบรรยากาศให้งานต่าง ๆ  มีความเร่งเวน  ผลักดันงานให้มีความต่อเนื่องอย่างไม่หยุดยั้ง  และสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานต่าง ๆ       

          4.การออกแบบกระบวนการจากภายนอก  ประเด็นสำคัญของการรีเอ็นจิเนียริ่งอีกประการหนึ่งก็คือกระดาษเปล่าเพียง 1 แผ่น  ที่ใช้สำหรับเขียนขั้นตอนการทำงานแบบใหม่  ก่อนที่จะเริ่มปรับปรุงงานนั้นควรจะตั้งคำถามในลักษณะที่ว่าลูกค้าต้องการอะไร  แทนที่จะถามคำถามในลักษณะเดิมที่ว่าเราอยากจะขายอะไร  นอกจากนี้การประสานงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ภายในบริษัทควรมีความสอดคล้องกัน โดยพนักงานในแต่ละหน่วยจะตกลงร่วมกัน  แต่ไม่ได้หมายความว้าต้องพึ่งพิงกับลักษณะโครงสร้างบริษัทที่มีในปัจจุบัน  กล่าวคือ  จะต้องออกแบบจากมุมมองของลูกค้าก่อนแล้วจึงมาพิจารณาว่าองค์การควรจะมีการดำเนินงานอย่างไร เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าได้นั้นจะต้องใช้การสำรวจและวิจัยหลายรูปแบบ  นอกจากนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานนักกับการศึกษาขั้นตอนต่าง ๆ ของงานที่มีในปัจจุบัน  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าให้ทิ้งระบบเก่าทันที  เพราะระบบเก่าอาจนำมาใช้พิจารณาจุดที่สำคัญของงานได้บ้างในบางขั้นตอน

        5.การดำเนินการกับที่ปรึกษา  บ่อยครั้งที่พบว่าที่ปรึกษาทางธุรกิจขององค์การอาจทำอะไรที่ผิวเผินที่ปรึกษาเหล่านี้เข้ามาสำรวจ  สัมภาษณ์พนักงาน  แล้ววิเคราะห์ผลจากตัวเลข  นำเสนอข้อคิดเห็นในสิ่งที่ค้นพบต่าง ๆ  ตั้งแต่ต้นจนจบ  คือ  เริ่มตั้งแต่การออกแบบบาน  การนำแผนไปปฏิบัติ  และให้การฝึกอบรมแก่ผู้เชี่ยวชาญภายในองค์การเพื่อถ่ายทอดหลักการเหล่านั้นให้ไปถึงระดับล่าง

        6.ทำการผนวกกิจกรรมของระดับบนลงสู่ระดับล่างกับกิจกรรมของระดับล่างขั้นสู่ระดับบนเข้าด้วยกันถ้ามองอย่างผิวเผินแล้วการรีเอ็นจิเนียริ่งเป็นการเน้นหนักเรื่องภาวะความเป็นผู้นำ   เทคโนโลยี  และการเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคน  ซึ่งจะขัดแย้งกับแนวคิดการบริหารจัดการคุณภาพทั่วทั้งองค์การ(Total  Quality Management TQM)  หรือการมีส่วนร่วมของพนักงานในกิจกรรมอื่น ๆ  สิ่งที่เกิดขึ้นจริงก็คือ  การรีเอ็นจิเนียริ่งไม่สามารถเริ่มต้นได้จากระดับล่าง  เพราะอาจจะมีการขัดขวางจากกลุ่มคนหรือหน่วยงานภายในองค์การ  แต่การบริหารจากระดับบนสู่ต้องอาศัยสภาพแวดล้อมและบรรยากาศของการปรับปรุงงานอย่างต่อเนื่องของระบบ  TQM  (ระบบงานที่มีการปรับปรุงงานอย่างค่อยเป็นค่อยไปและต่อเนื่องโดยให้ผู้เกี่ยวข้องส่วนใหญ่มีส่วนร่วม)  จึงอาจกล่าวได้ว่าการตั้งเป้าหมายเป็นเรื่องของการบริหารจากระดับบนลงสู่ระดับล่าง  ขณะเดียวกันวิธีการทำงานเป็นเรื่องของการบริหารจากระดับล่างขึ้นสู่ระดับบน

              อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่อาจส่งผลกระทบต่อหน่วยงานในองค์การก็คือ  เมื่อทำการรีเอ็นจิเนียริ่งแล้วจะมีการเปลี่ยนวิธีการทำงานของพนักงาน  ซึ่งมีตัวแปรสำคัญที่เกี่ยวข้อง  ได้แก่  วัฒนธรรมขององค์การ  ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะไม่สามารถทำได้  โดยผู้บ่ริหารอยากจะเปลี่ยนแปลงแต่ต้องเกิดจากความร่วมมือของทุกฝ่าย  ประเด็นหลักจึงไม่ได้อยู่ที่วิธีการแบบเก่าหรือวิธีการแบบใหม่  แต่อยู่ที่ช่วงเวลาการถ่ายโอนวิธีการทำงานแบบเก่ากับแบบใหม่นั้นหมายความว่า  เมื่อมีการร่างการออกแบบผังงานใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้วจำเป็นต้องอาศัยผู้ที่มีภาวะความเป็นผู้นำที่แท้จริงมาลงมือปฏิบัติในช่วงเวลาที่สำคัญนี้  การรีเอ็นจิเนียริ่งจึงจะเกิดประสิทธิภาพได้เต็มที่  กล่าวโดยสรุปก็คือการรีเอ็นจิเนียริ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงการทำงานแบบเก่า  (ทำการปฏิวัติ)  ให้เป็นแบบใหม่โดยอาศัยกำลังภายในองค์การหรือหน่วยงานเดิมที่กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ  ทั้งนี้การสร้างวิธีดำเนินงานขึ้นมาใหม่จะต้องอาศัยความสามารถในการหยั่งรู้  ตลอดจนวิจารณญาณที่ลึกซึ้งของฝ่ายบริหารอย่างแท้จริง  


การรีเอ็นจิเนียริ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงการทำงานแบบเก่าให้เป็นแบบใหม่  โดยอาศัยกำลังภายในองค์การหรือหน่วยงานเดิมที่กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ   ทั้งนี้การสร้างวิธีดำเนินงานขึ้นมาใหม่จะต้องอาศัยความสามารถในการหยั่งรู้  ตลอดจนวิจารณญาณที่ลึกซึ้งของฝ่ายบริหารอย่างแท้จริง 

การทำรีเอ็นจิเนียริ่งมี  5  ขั้น
          ขั้นที่ 1  กำหนดสิ่งที่องค์การจำเป็นต้องทำ
          ขั้นที่ 2  สร้างสิ่งที่เป็นแบบจำลองของการบริหารงาน  ซึ่งก็คือ  การกำหนดวิสัยทัศน์ (Vision)  ที่ค่อนข้างจะเป็นไปได้ในอนาคตและมีความชัดเจน
          ขั้นที่ 3  ชี้ให้เห็นถึงกระบวนการหลักของการบริหารองค์การ   ไม่ควรสร้างผังงานของกระบวนการปัจจุบัน  เพียงแต่มองและพิจารณาเท่านั้น
          ขั้นที่ 4  ออกแบบกระบวนการใหม่
          ขั้นที่ 5 การนำกระบวนการใหม่ไปปฏิบัติอย่างจริงจัง


พื้นฐานของการรีเอ็นจิเนียริ่งที่ประสบผลสำเร็จต้องมีสมรรถนะ  7  ประการ ได้แก่

            1. ความสามารถในการทำรีเอ็นจิเนียริ่งให้สอดคล้องกับวิธีการที่ลึกซึ้งและเป็นระบบ
            2. ความร่วมมือในการบริหารการเปลี่ยนแปลงสำหรับหน้าที่งานธุรกิจที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด
            3. ความสามารถในการประเมิน  วางแผน  และนำการเปลี่ยนแปลงไปปฏิบัติในลักษณะต่อเนื่อง
            4. ความสามารถในการวิเคราะห์ผลกระทบทั้งหมดจากการเปลี่ยนแปลงที่เสนอขึ้นมา
            5. ความสามารถในการวางรูปแบบและจำลองการเปลี่ยนแปลงที่เสนอขึ้นมา
            6. ความสามารถในการใช้รูปแบบเหล่านี้ในลักษณะต่อเนื่อง
            7. ความสามารถในการรวมตัวแปรทางการบริหารทั้งหมดของบริษัทเข้าด้วยกัน


             ที่มา : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=yaovarit&month=07-2013&date=22&group=2&gblog=19#<META HTTP-EQUIV="Expiress" CONTENT=" Tue, 24 Aug 1999 22:55:00 GMT">