จำนวนผู้เยี่ยมชม
เนื่องจากการผลิตไฟฟ้าด้วย โซล่าเซลล์ มีวิธีการผลิต การใช้งาน วัตถุประสงค์ การเชื่อมต่อ ฯลฯ ที่ค่อนข้างหลากหลาย จึงขออธิบายในภาพรวม การผลิตไฟฟ้าด้วย โซล่าเซลล์ เป็น 3 ประเภทหลัก ดังนี้
1. ระบบ อ๊อฟกริด (Off Grid) หรือ แบบอิสระ ( Stand
Alone )
1.1.1 อุปกรณ์ที่ใช้งาน (Load) ใช้ไฟ AC
1.1.2 อุปกรณ์ที่ใช้งาน (Load) ใช้ไฟ DC
2.3 ระบบออนกริด (On Grid) แบบ เน็ตมิเตอร์ริ่ง ( Net Metering )
อ้างอิงที่มา : https://www.solarhub.co.th/index.php?option=com_content&view=article&id=310:solarcell-overview&catid=106:solar-components&Itemid=998
คือระบบที่ผลิตไฟฟ้าจากโซล่าเซลล์
แล้วไม่ได้เชื่อมต่อเข้ากับระบบจำหน่าย ของการไฟฟ้านครหลวง หรือ
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ระบบนี้เหมาะกับสถานที่ไม่มีไฟฟ้า หรือที่ไฟเข้าไม่ถึง
ไม่คุ้มที่จะเดินลากสายไฟยาวๆเข้ามาใช้เนื่องจากต้นทุนสูง
1.1 แบบต่อใช้งานโดยไม่ใช้แบตเตอรี่
กล่าวคือเมื่อได้กระแสไฟฟ้าจากแผง Solar Cell หรือ PhotoVoltaic ( PV ) แล้ว ก็ต่อไปยังอุปกรณ์เพื่อใช้งานเลย
ดังนั้นก็จะใช้ได้เฉพาะเวลาที่มีแสงอาทิตย์เท่านั้น
และไม่มีการเก็บประจุไฟฟ้ามาใช้งาน
ทั้งนี้การนำมาต่อใช้งานก็อาจแยกตามอุปกรณ์ที่ใช้งาน ได้เป็น 2 ชนิด
1.1.1 อุปกรณ์ที่ใช้งาน (Load) ใช้ไฟ AC
เนื่องจากอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้งานภายในบ้านเราเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ
AC ( Alternating Current ) แต่ไฟฟ้าที่ได้จากแผง Solar
Cell หรือ PhotoVoltaic ( PV ) เป็นไฟฟ้ากระแสตรง
DC ( Direct Current ) ดังนั้น
ก่อนนำไปใช้งานจึงต้องนำมาแปลงมาเป็นไฟฟ้ากระแสสลับเสียก่อน
โดยนำมาต่อเข้ากับอุปกรณ์ที่เรียกว่า อินเวอร์เตอร์ ( Inverter ) ซึ่งกำลังไฟฟ้าที่ได้ก็จะมีการสูญเสียจากการแปลงฯ
ทำให้ลดทอนประสิทธิภาพการผลิตกระแสไฟฟ้าลงไป
1.1.2 อุปกรณ์ที่ใช้งาน (Load) ใช้ไฟ DC
นำกระแสไฟฟ้า DC ที่ได้จาก แผง Solar Cell หรือ PhotoVoltaic ( PV ) มาต่อใช้งานกับอุปกรณ์ของเราใช้งานเลย
โดยไม่ต้อง ต่อผ่าน Inverter ซึ่งวิธีการนี้ข้อดีคือการนำไฟฟ้าที่ได้มาใช้งานได้อย่างคุ้มค่าที่สุด
เนื่องจากมีการสูญเสียกำลังไฟฟ้าต่ำมาก แต่ข้อเสียคือ อุปกรณ์ ที่ใช้งานส่วนใหญ่จะใช้ไฟ
AC ดังนั้นจึงต้องเลือกใช้งานอุปกรณ์ให้เหมะสม เช่น
มอเตอร์ปั๊มน้ำที่ใช้ไฟ DC , มอเตอร์บำบัดน้ำเสียที่ใช้ไฟ DC
เป็นต้น ซึ่งระบบนี้ก็จะได้ต้นทุนที่ต่ำและประหยัดสุด
(เพราะไม่ต้องใช้ อินเวอร์เตอร์ ( Inverter ) และ แบตเตอรี่ ที่ราคาค่อนข้างสูง
และอายุการใช้งานสั้น หากบำรุงรักษาไม่ดี)
***ทั้งนี้อุปกรณ์ที่ใช้ไฟ DC บางอย่าง ก็ไม่สามารถต่อกับไฟ DC ที่ได้จากแผง Solar Cell ได้โดยตรง ต้องต่อผ่าน Inverterก่อน เนื่องจากต้องปรับแรงดัน หรือค่าแฟคเตอร์อื่นๆให้เหมาะสมกับ อุปกรณ์นั้นๆ ก่อน
***ทั้งนี้อุปกรณ์ที่ใช้ไฟ DC บางอย่าง ก็ไม่สามารถต่อกับไฟ DC ที่ได้จากแผง Solar Cell ได้โดยตรง ต้องต่อผ่าน Inverterก่อน เนื่องจากต้องปรับแรงดัน หรือค่าแฟคเตอร์อื่นๆให้เหมาะสมกับ อุปกรณ์นั้นๆ ก่อน
1.2 แบบต่อใช้งานโดยใช้แบตเตอรี่
วิธีนี้คือการนำกระแสไฟฟ้าที่ได้จากแผงโซล่าเซลล์ มาชาร์จเข้าแบตเตอรี่ แล้วจึงนำไฟฟ้าที่ได้มาใช้งาน ซึ่งก็สามารถเลือกว่าจะนำจ่ายไฟ ให้กับอุปกรณ์ ที่ใช้ไฟ AC หรือ อุปกรณ์ที่ใช้ไฟ DC ทั้งนี้ข้อดีของการที่มีแบตเตอรี่คือสามารถเก็บประจุไฟฟ้าไว้ใช้งานได้กรณีที่ไม่มีแสงอาทิตย์ หรือสามารถใช้ไฟฟ้าในเวลากลางคืนได้ โดยอาจแยกตามอุปกรณ์ที่ใช้งาน ได้เป็น 2 ชนิด
วิธีนี้คือการนำกระแสไฟฟ้าที่ได้จากแผงโซล่าเซลล์ มาชาร์จเข้าแบตเตอรี่ แล้วจึงนำไฟฟ้าที่ได้มาใช้งาน ซึ่งก็สามารถเลือกว่าจะนำจ่ายไฟ ให้กับอุปกรณ์ ที่ใช้ไฟ AC หรือ อุปกรณ์ที่ใช้ไฟ DC ทั้งนี้ข้อดีของการที่มีแบตเตอรี่คือสามารถเก็บประจุไฟฟ้าไว้ใช้งานได้กรณีที่ไม่มีแสงอาทิตย์ หรือสามารถใช้ไฟฟ้าในเวลากลางคืนได้ โดยอาจแยกตามอุปกรณ์ที่ใช้งาน ได้เป็น 2 ชนิด
1.2.1 นำกระแสไฟที่ได้จากแผง Solar Cell หรือ PhotoVoltaic ( PV ) มาชาร์จแบตเตอรี่ แล้วนำไฟจากแบตเตอรี่
แปลงเป็นไฟ AC ต่อไปยังอุปกรณ์ที่ใช้งาน (Load) ใช้ไฟ AC
เนื่องจากอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้งานภายในบ้านเราเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ
AC ( Alternating Current ) แต่ไฟฟ้าที่ได้จากแผง Solar Cell หรือ PhotoVoltaic
( PV ) เป็นไฟฟ้ากระแสตรง DC ( Direct Current ) ดังนั้น ก่อนนำไปใช้งานจึงต้องนำมาแปลงมาเป็นไฟฟ้ากระแสสลับเสียก่อน
โดยนำมาต่อเข้ากับอุปกรณ์ที่เรียกว่า อินเวอร์เตอร์ ( Inverter ) ซึ่งกำลังไฟฟ้าที่ได้ก็จะมีการสูญเสียจากการแปลงฯ
ทำให้ลดทอนประสิทธิภาพการผลิตกระแสไฟฟ้าลงไป
1.2.2 นำกระแสไฟที่ได้จากแผง Solar
Cell หรือ PhotoVoltaic ( PV ) มาชาร์จแบตเตอรี่
แล้วนำไฟจากแบตเตอรี่ ต่อไปยังอุปกรณ์ที่ใช้งาน (Load) ใช้ไฟ
DC
ซึ่งวิธีการนี้ข้อดี
การนำไฟฟ้าที่ได้มาใช้งานได้อย่างคุ้มค่าที่สุด
เนื่องจากมีการสูญเสียกำลังไฟฟ้าต่ำมาก แต่ข้อเสียคือ อุปกรณ์
ที่ใช้งานส่วนใหญ่จะใช้ไฟ AC ดังนั้นจึงต้องเลือกใช้งานอุปกรณ์ให้เหมะสม
เช่น หลอดไฟ LED แบบ DC ,มอเตอร์ ,
ปั๊มน้ำ เป็นต้น
2. ระบบ
ออนกริด ( On Grid ) แบบเชื่อมต่อกับระบบโครงข่ายระบบจำหน่ายไฟฟ้า ( Grid Connected )
เป็นระบบการผลิตไฟฟ้าจากโซล่าเซลล์
แล้วเปลี่ยนไฟฟ้ากระแสตรงที่ได้ให้เป็นไฟฟ้ากระแสสลับ ด้วยอุปกรณ์ Inverter
แล้วไปเชื่อมต่อเข้ากับระบบจำหน่ายไฟของ การไฟฟ้านครหลวง
หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยข้อดีคือสามารถนำกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้ขายให้กับ
การไฟฟ้าฯ (ทั้งนี้ต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงานราชการก่อน )
หรือนำไฟฟ้าที่ได้มาใช้งานเองเพื่อลดค่าไฟฟ้า
หากผลิตไม่พอใช้อุปกรณ์ควบคุมก็จะนำไฟฟ้าจากระบบจำหน่ายไฟของการไฟฟ้ามาใช้งานทดแทน
2.1 แบบผลิตเพื่อจำหน่ายไฟ ให้การไฟฟ้าฯ
การติดตั้งแบบนี้ก็เพื่อผลิตไฟฟ้าจำหน่ายให้กับ
การไฟฟ้านครหลวง หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยต้องมีการติดตั้งมิเตอร์แยกจาก
มิเตอร์ที่เราใช้ไฟจากการไฟฟ้าฯ
ทั้งนี้การรับซื้อไฟต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของภาครัฐว่าจะเปิดให้ลงทะเบียนจำหน่ายไฟเมื่อใดและมีค่าสมทบค่าไฟฟ้าอีกเท่าใด
(เรียกว่าค่าแอดเดอร์)
2.2 แบบผลิตเพื่อใช้เองและลดค่าไฟฟ้า
การติดตั้งแบบนี้ เพื่อลดค่าไฟฟ้า
โดยเมื่อมีการใช้ไฟฟ้ามากกว่าที่ผลิตเองจากโซล่าเซลล์ ตัวอุปกรณ์ Grid Tie Inverter ที่เชื่อมต่อกับระบบจำหน่ายของการไฟฟ้าฯ
ก็จะทำหน้าที่ดึงกระแสไฟฟ้าจากการไฟฟ้ามาใช้งานโดยอัตโนมัติ
ดังนั้นก็จะทำให้ลดค่าไฟฟ้าลงได้และไม่มีข้อจำกัดเรื่องกำลังไฟไม่พอ
เพราะดึงจากการไฟฟ้ามาชดเชย แต่การติดตั้งแบบนี้ต้องได้รับการอนุญาตจาก
การไฟฟ้าฯก่อน แต่ข้อเสียของระบบนี้คือช่วงที่ไม่มีแสงอาทิตย์หรือเวลากลางคืน
ก็จะไม่มีการผลิตกระแสไฟฟ้าออกมาซึ่งช่วงนี้ก็จะต้องตึงพลังงานไฟฟ้ามาจากระบบจำหน่ายของการไฟฟ้าฯ
ระบบนี้น่าจะเวิร์คสุดแล้ว
เนื่องจากเพราะว่า หากเราติดตั้งระบบออนกริด แล้วช่วงตอนกลางวันเราไม่ได้อยู่บ้าน
ไม่มีการใช้ไฟฟ้า ก็ทำให้เราติดตั้งระบบโซล่าเซลล์เสียเปล่า ไม่ได้ประโยชน์
เหมือนผลิตไฟฟ้าได้แล้วทิ้งไป
หากเป็นระบบเน็ตมิเตอริ่ง
ช่วงเวลากลางวันเราไม่อยู่บ้านเมื่อระบบโซล่าเซลล์ผลิตไฟฟ้าได้ก็จะไหลเข้าระบบโครงข่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้า
โดยตัวมิเตอร์ก็จะเก็บข้อมูลไว้ว่าเราผลิตได้กี่หน่วย
แล้วพอตอนกลางคืนเรากลับบ้าน มาใช้ไฟฟ้า มิเตอร์ ก็จะหัก ลบ
กับที่เราผลิตได้เมื่อตอนกลางวัน
และสุดท้ายก็สรุปในแต่ละเดือนเราจะต้องจ่ายค่าไฟฟ้าเท่าไหร่ ***แต่เดี๊ยวก่อน
ระบบนี้ในเมืองไทยยังไม่มีการนำมาใช้ แต่แว่วๆว่า กระทรวงพลังงาน
ได้ให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศึกษาความเป็นไปได้ในการนำระบบนี้มาใช้ สำหรับในต่างประเทศ ก็เริ่มมีการนำระบบเน็ตมิเตอริ่ง มาใช้บ้างแล้ว***
3. ระบบ
ไฮบริดส์ ( Hybrid ) หรือแบบผสม
ระบบทำงานได้ทั้ง
Off Grid และ On Grid โดยจะเปลี่ยนสถานะเป็นแหล่งจ่ายไฟได้เองอัติโนมัติ และสามารถใช้ไฟได้หาก
มีการดับไฟจากระบบจำหน่ายไฟของการไฟฟ้าฯ ซึ่งแบบไฮบริดส์ นี้ก็จะมาแก้ไขจุดด้อยของ
ข้อ 2.2 กล่าวคือ ก็จะมีการเพิ่ม Hybrid Inverter
และอุปกรณ์แบตเตอรี่เข้ามาด้วยเพื่อทำการเก็บประจุไว้ใช้งานในกรณ์ที่ไม่มีแสงอาทิตย์
ความคิดเห็น