คืออุปกรณ์ที่ใช้สำหรับตัดต่อวงจร และป้องกันไฟช็อตและไฟเกิน และไฟรั่ว (เฉพาะรุ่น) ในวงจรไฟฟ้า ที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน เนื่องจากความสะดวกสบายในการใช้งาน โดยเมื่อเบรกแกอร์ตัดวงจรจากการทำงาน ก็สามารถใช้งานใหม่ได้ทันที หลังจากทำการรีเซ็ท คนไม่มีความรู้ก็สามารถทำได้ ไม่เหมือนกับฟิวส์ ที่อาจจะมีข้อยุ่งยากในการเปลี่ยนหลังจากฟิวส์ได้ทำงานป้องกันวงจรไฟฟ้าแล้ว
แต่อย่างไรก็ตามเบรคเกอร์ก็ยังมีข้อเสียคือ
อาจจะมีความผิดพลาดในการป้องกันวงจรไฟฟ้าได้ เนื่องจากมีกลไกประกอบการทำงาน จึงอาจมีโอกาสที่จะทำให้กลไกไม่ทำงานขึ้นได้
จากสาเหตุต่างๆ จึงนิยมใช้เบรคเกอร์สำหรับการป้องกันวงจรย่อยของระบบเท่านั้น
เบรคเกอร์ ใช้สัญลักษณ์แทนดังภาพด้านล่าง
ภาพที่
1 แสดงสัญลักษณ์ของเบรคเกอร์
เบรคเกอร์ทำงานโดยอาศัยหลักการของความร้อน
และสนามแม่เหล็ก โดยมีหลักการทำงานดังนี้
เบรกเกอร์แบบทำงานโดยอาศัยความร้อน นิยมใช้สำหรับปลดวงจรของโหลดเมื่อมีกระแสไหลเกิน
( Over Load) อันเนื่องมาจากการใช้โหลดมากเกินกว่าปกติ โดยอาศัยลักษณะการทำงานตามภาพด้านล่าง
ภาพที่ 2 แสดงโครงสร้างภายในของเบรคเกอร์แบบทำงานด้วยความร้อน
ขณะปกติ
จากภาพที่ 2 กระแสไฟฟ้าที่ไหลไปยังโหลดจะไหลผ่านแผ่นไบเมททอล
ซึ่งทำจากโลหะ 2 ชนิด วางติดกันสนิท ทำให้เมื่อได้รับความร้อนจะเกิดการงอ เนื่องจากโลหะทั้งสองมีการขยายตัวไม่เท่ากัน
แต่ถูกนำมาติดกันสนิท โลหะที่ขยายตัวได้มากกว่าจะดันโลหะอีกตัวให้เกิดการงอตัว
จนไปดันสลักให้เคลื่อนที่อีกทอดหนึ่ง จนสลักหลุดจากคานที่ต่อกับคอนแทค ทำให้คอนแทคแยกออกจากกันโดยการดึงของสปริง ตัดการไหลของกระแส ตามภาพด้านล่าง
ภาพที่ 3 แสดงโครงสร้างภายในของเบรคเกอร์แบบทำงานด้วยความร้อน
ขณะทำงานตัดวงจร
เบรกเกอร์แบบทำงานโดยอาศัยอำนาจแม่เหล็ก นิยมใช้สำหรับปลดวงจรของโหลดเมื่อมีกระแสสูงมากๆ
เช่นเกิดการช็อต ( Short Circuit ) เนื่องจากจะตัดวงจรเร็วมากหากมีกระแสเกินจำนวนสูงๆ
จากอำนาจแม่เหล็ก เบรกเกอร์ประเภทนี้ไม่เหมาะสำหรับใช้ควบคุมโหลดประเภทมอเตอร์ เพราะมอเตอร์จะกินกระแสสูงตอนสตาร์ท
ดังนั้นหากใช้เวลานานในการสตาร์ทอาจจะทำให้เบรคเกอร์ตัดก่อนได้ เบรคเกอร์ประเภทนี้มีส่วนประกอบและลักษณะการทำงานตามภาพด้านล่าง
ภาพที่ 4 แสดงโครงสร้างภายในของเบรคเกอร์แบบทำงานด้วยสนามแม่เหล็ก
ขณะปกติ
จากภาพที่
4 กระแสไฟฟ้าที่ไหลไปยังโหลดจะไหลผ่านชุดขดลวดสนามแม่เหล็ก ผ่านไปยังคอนแทค
และไปยังโหลด เนื่องจากหน้าคอนแทคติดกันอยู่ขณะกระแสไหลเป็นปกติ ซึ่งขณะกระแสไหลเป็นปกติ
สนามแม่เหล็กที่เกิดขึ้นจะไม่มากพอที่จะไปดึงดูดให้ชุดเคลื่อนที่ เคลื่อนมาหาชุดสนามแม่เหล็กได้
แต่เมื่อใดที่มีกระแสไหลมากผิดปกติจนถึงระดับที่ได้ออกแบบไว้
สนามแม่เหล็กจะไปดึงดูดให้ชุดเคลื่อนที่ เคลื่อนเข้ามาติดกับชุดสนามแม่เหล็ก
จนทำให้หลุดออกจากสลัก สปริงก็จะดึงสลักลงมา ทำให้หน้าคอนแทคที่ติดอยู่กับตัวสลักแยกออกจากกัน
ตัดการไหลของกระแส ตามภาพด้านล่าง
เบรคเกอร์บางรุ่นอาจรวมหลักการทั้ง
2 แบบ อยู่ในตัวเดียวกัน
ส่วนการเลือกใช้งานเบรคเกอร์ ซึ่งส่วนมากเราจะใช้เบรคเกอร์แบบไม่สามารถตั้งค่ากระแสได้
การเลือกซื้อเราจึงต้องคำนวณค่ากระแสที่เราจะต้องใช้ และเลือกซื้อขนาดที่เหมาะสม
เบรคเกอร์ที่เราใช้โดยเฉพาะเรียกว่า เซฟตี้เบรคเกอร์
ซึ่งจะสามารถติดตั้งและต่อวงจรได้โดยตรง
ภาพที่ 6 แสดงเซฟตี้เบรคเกอร์ 1 เฟส และ
3 เฟส
ในปัจจุบันเราจะเลือกใช้เบรคเกอร์คู่กับอุปกรณ์ที่ออกแบบมาสำหรับติดตั้งโดยเฉพาะ
คือ ในระบบ 1 เฟส หรือตามบ้านเรือนทั่วไปเราจะใช้เบรคเกอร์กับ คอนซูเมอร์ (Consumer) ส่วนในระบบ 3 เฟส
เราจะใช้เบรคเกอร์กับโหลดเซนเตอร์ (Loadcenter)
เบรคเกอร์ที่ใช้กับคอนซูเมอร์ และโหลดเซนเตอร์
จะมี 2 อย่างคือ เมนเบรคเกอร์ สำหรับควบคุมวงจรทั้งหมด และลูกเบรคเกอร์
สำหรับควบคุมวงจรย่อย
ภาพที่ 7 แสดงคอนซูเมอร์ที่ใช้กับไฟฟ้าระบบ 1 เฟส
ภายในอาคารบ้านพักทั่วไป
ภาพที่ 8 แสดงโหลดเซนเตอร์ ที่ใช้กับควบคุมและป้องกันไฟฟ้าระบบ
3 เฟส
ความคิดเห็น