| การปฐมพยาบาล
 | 
|  | การปฐมพยาบาล หมายถึง การให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บ | 
| ณ สถานที่เกิดเหตุ โดยใช้อุปกรณ์เท่าที่จะหาได้ในขณะนั้น ก่อนที่ผู้บาดเจ็บจะได้รับการดูแลรักษาจากบุคลากรทางการแพทย์ หรือส่งต่อไปยังโรงพยาบาล | 
|  |  | 
| การปฐมพยาบาลมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญคือ | 
|  | 1. เพื่อช่วยชีวิต 2. เพื่อเป็นการลดความรุนแรงของการบาดเจ็บหรือการเจ็บป่วย
 3. เพื่อทำให้บรรเทาความเจ็บปวดทรมาน และช่วยให้กลับสู่สภาพเดิมโดยเร็ว
 4. เพื่อป้องกันความพิการที่จะเกิดขึ้นตามมาภายหลังการปฐมพยาบาลแบบต่าง ๆ
 | 
|  |  | 
| การใช้ผ้าสามเหลี่ยม ( Triangular bandages) | 
|  | การใช้ผ้าสามเหลี่ยม เมื่อมีบาดแผลต้องใช้ผ้าพันแผล ซึ่งขณะนั้นมีผ้าสามเหลี่ยม | 
| สามารถใช้ผ้าสามเหลี่ยมแทนผ้าพันแผลได้ โดยพับเก็บมุมให้เรียบร้อย และก่อนพันแผลต้องพับผ้าสามเหลี่ยมให้มีขนาดเหมาะสมกับบาดแผล และอวั ยวะ | 
|  |  | 
|  | 1. การคล้องแขน (Arm sling) | 
|  | ในกรณีที่มีกระดูกต้นแขนหัก หรือกระดูกปลายแขนหัก เมื่อตกแต่งบาดแผล | 
| และเข้าเฝือกชั่วคราวเรียบร้อยแล้ว จะคล้องด้วยผ้าสามเหลี่ยมตามลำดับดังนี้ | 
|  | 1.1 วางผ้าสามเหลี่ยมให้มุมยอดของสามเหลี่ยมอยู่ใต้ข้อศอกข้างที่เจ็บ | 
| ให้ชายผ้าด้านพบพาดไปที่ไหล่อีกข้างหนึ่ง 
 
 
 | 
|  |  | 
|  | 1.2 จับชายผ้าด้านล่างตลบกลับขึ้นข้างบน ให้ชายผ้าพาดไปที่ไหล่ข้างเดียว | 
| กับแขนข้างที่เจ็บ 
 
 
 | 
|  |  | 
|  | 1.3 ผูกชายทั้งสองให้ปมอยู่ตรงร่องเหนือกระดูกไหปลาร้า 
 
 
 | 
|  |  | 
| 
 | 1.4 เก็บมุมสามเหลี่ยมโดยใช้เข็มกลัดติดให้เรียบร้อย | 
|  |  | 
|  |  | 
|  | 
2. การพันมือ ใช้กรณีที่มีบาดแผลที่มือ ทำตามลำดับดังนี้
 | 
|  | 
|  | 2.1 วางมือที่บาดเจ็บลงบนผ้าสามเหลี่ยม จับมุมยอดของผ้าสามเหลี่ยม | 
| ลงมาด้านฐานจรดบริเวณข้อมือ 
 
 | 
| 
 | 
 | 
|  | 2.2 ห่อมือโดยจับชายผ้าทั้งด้านซ้ายและขวาไขว้กัน | 
|  | 2.3 ผูกเงื่อนพิรอดบริเวณข้อมือ 
 
 | 
|  |  | 
|  | 
 | 
|  |  | 
| แผลงูพิษกัด | 
|  | 1. ดูรอยแผล ถ้างูไม่มีพิษแผลจะเป็นรอยถลอก ให้ทำแผลแบบ แผลถลอก | 
| แล้วถ้าแผลไม่ลุกลามหรือไม่มีอาการอื่น ไม่ต้องไปหาหมอ แผลจะหายเอง ถ้างูมีพิษจะมีรอยเขี้ยว 1 หรือ 2 จุด ให้รักษาตามข้อ 2 - 7 
 | 
| 
 |  | 
| 
 | 2. พูดปลอบใจอย่าให้กลัวหรือตกใจ, ให้นอนนิ่งๆ, ถ้าจำเป็นให้เคลื่อนไหวน้อยที่สุด | 
|  | 3. ห้ามให้ดื่มเหล้า ยาดองเหล้า หรือยากล่อมประสาท | 
|  | 4. ห้ามใช้มีดกรีดปากแผล ห้ามบีบเค้นบริเวณแผล เพราะจะทำให้แผลช้ำ | 
|  | สกปรก และทำให้พิษกระจายเร็วขึ้น. | 
|  | 5. ห้ามขันชะเนาะรัดแขนหรือขา เพราะจะเกิดอันตรายมากขึ้น | 
|  | 6. รีบพาไปหาหมอ, ถ้าเป็นไปได้ควรนำซากงูที่กัดไปด้วย | 
|  | 7. ถ้าหยุดหายใจ ให้ เป่าปากช่วยหายใจ | 
|  |  | 
|  | 
 | 
| ผงเข้าตา | 
|  |  | 
|  | ห้ามขยี้ตา , รีบลืมตาในน้ำสะอาด , และกลอกตาไปมาหรือเทน้ำให้ไหลผ่านตา | 
| ที่ถ่างหนังตาไว้ ถ้ายังไม่ออก ให้คนช่วยใช้มุมผ้าเช็ดหน้าที่สะอาดเขี่ยผงออกถ้าไม่ออก ควรรีบไปหาหมอ | 
|  |  | 
|  |  | 
| บาดแผล | 
| - แผลตื้นหรือแผลมีดบาด (เลือดออกไม่มาก) | 
|  | 1. บีบให้เลือดชะเอาสิ่งสกปรกออกมาบ้าง | 
|  | 2. ถ้ามีฝุ่นผงหรือสกปรก ต้องล้างออกด้วยน้ำสุกกับสบู่ | 
|  | 3. ใส่ ทิงเจอร์ใส่แผลสด หรือ น้ำยาโพวิโดนไอโอดีน | 
|  | 4. พันรัดให้ขอบแผลติดกัน | 
|  | 5. ควรทำความสะอาดแผลและเปลี่ยนผ้ากอซวันละ 1 ครั้ง จนกว่าแผลจะหาย | 
|  |  | 
|  |  | 
| ความดันต่ำ หน้ามืด เวียนศีรษะ | 
|  |  | 
|  | 1. ถ้ามีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรง, ปวดท้องหรืออาเจียนรุนแรง, ถ่ายอุจจาระดำ, | 
| ใจหวิวใจสั่น, ชีพจรเต้นเร็ว, เหงื่อแตกท่วมตัว, หรือลุกนั่งมีอาการเป็นลม ต้องไปหาหมอโดยเร็ว. | 
|  | 2. ถ้าไม่มีอาการในข้อ 1 ให้ปฏิบัติดังนี้ | 
|  | 2.1 ให้นอนลงสักครู่ แล้วลุกขึ้นใหม่โดยลุกช้าๆ อย่าลุกพรวดพราด เช่น ค่อยๆ | 
| ลุกจากท่านอน เป็นท่านั่ง แล้วนั่งพักสักครู่ ขยับและเกร็งขาหลายๆ ครั้ง, แล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน, ยืนนิ่งอยู่ สักครู่ แล้วจึงค่อยเดิน | 
|  | 2.2 ถ้ายังมีอาการให้กินยาหอม หรือกดจุด | 
|  | 3. ถ้าเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง ควรไปหาหมอเพื่อตรวจหาสาเหตุ | 
|  | . ถ้ามีอาการวิงเวียน เห็นบ้านหมุน ดูเรื่อง วิงเวียน เห็นบ้านหมุน 
 | 
| การป้องกัน ให้ออกกำลังกายเพิ่มขึ้นทีละน้อย, นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ, และดื่มน้ำมาก ๆ | 
|  |  | 
|  | 
 | 
| สุนัขกัด | 
|  | 1. ให้รีบทำแผลทันที โดยล้างแผลด้วยน้ำสะอาด, ฟอกสบู่หลายๆ ครั้ง, | 
| แล้วชะแผลด้วย แอลกอฮอล์ หรือ ทิงเจอร์ใส่แผลสด หรือ น้ำยาโพวิโดนไอโอดีน | 
|  | 2. รีบพาไปหาหมอ เพื่อพิจารณาฉีดยาป้องกันบาดทะยัก, ฉีดยาป้องกันโรคกลัวน้ำ | 
| และใช้ ยาปฏิชีวนะ | 
|  |  | 
|  | 
 | 
| การห้ามเลือด | 
|  | ถ้าบาดแผลเล็ก กดปากแผลด้วยผ้าสะอาด แล้วพันให้แน่น 
 
 | 
| 
 
 
 |  | 
| 
 | 2. ถ้าบาดแผลใหญ่ เลือดออกพุ่ง ทำตามข้อ 1 แล้วเลือดยังไม่หยุด ใช้ผ้า เชือก | 
| หรือสายยางรัดเหนือแผล(ระหว่างบาดแผลกับหัวใจ) ให้แน่นพอที่เลือดหยุดไหลเท่านั้น โดยอวัยวะส่วนปลายไม่เขียวคล้ำ หรือถ้าเป็นเลือดพุ่งออกมาจากปลายหลอดเลือดที่ขาดอยู่ ให้ใช้ก้อนผ้าเล็กๆ กดลงตรงนั้นเลือดจะหยุดได้ | 
|  | 3. ยกส่วนที่มีเลือดออกให้สูงไว้ 
 
 | 
|  |  | 
|  | 
 | 
| เป็นลม | 
|  | 1. ถ้าเป็นลมหมดสติ และหยุดหายใจ , หรือชัก , หรือเป็นลมอัมพาต | 
| (ส่วนหนึ่งส่วนใดของ ร่างกายอ่อนแรงทันที), หรือเป็นลมแน่นอกหรือจุกอก จนหายใจไม่ออก, หรือมีอาการรุนแรง อื่น ต้องไปหาหมอโดยเร็ว. | 
|  | 2. ถ้าเป็นลมหน้ามืด อาจหมดสติจนไม่รู้สึกตัวได้โดยก่อนเป็นลมหน้ามืด | 
| อาจใจหวิวใจสั่น หรือเวียนศีรษะแล้วหมดแรงฟุบตัวลงกับพื้น (มักจะไม่ล้มฟาด) - ให้นอนหงายลงกับพื้น ( ศีรษะไม่หนุนหมอน) แขนขาเหยียด ใช้หมอนหรือสิ่งอื่นรองขา และเท้าให้สูงกว่าลำตัว | 
|  | - คลายเสื้อผ้าให้หลวมออก เอาฟันปลอมและของในปากออก - พัดโบกลมให้ถูกหน้าและลำตัว ห้ามคนมุงดู.
 - ให้ดมยาหม่องหรือยาดมอื่นๆ หรือกดจุด
 - ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือน้ำอุ่นเช็ดหน้า และบีบนวดแขนขา
 | 
|  | ถ้าไม่ดีขึ้นใน 30 นาที ให้ไปหาหมอ | 
|  | 
| การป้องกัน | 
|  | - รักษาสุขภาพให้แข็งแรง เช่น กินอาหารและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ | 
| ออกกำลังกาย สม่ำเสมอ | 
|  | - หลีกเลี่ยงชนวนที่ทำให้เป็นลมหน้ามืด เช่น ที่แออัดอบอ้าว | 
|  | 3. ถ้าเป็นลมแน่นท้อง เรอลมบ่อยๆ ผายลมบ่อยๆ | 
|  | - ดื่มน้ำร้อน ๆ หรือน้ำขิง/ข่า/กระชาย (อย่างใดอย่างหนึ่ง) | 
|  | - กินยาลดกรด ยาขับลม | 
|  |  | 
| การป้องกัน | 
|  | - อย่ากินอาหารจนอิ่มมาก และหลีกเลี่ยงอาหารที่เกิดลมง่าย เช่น นม ถั่ว | 
| อาหารที่ย่อยยาก อาหารค้างหรือเริ่มบูด เป็นต้น | 
|  | - พูดหรือร้องเพลงให้น้อยลง - จิบน้ำบ่อยๆ เพื่อไม่ให้กลืนลมโดยไม่รู้ตัว
 - ผ่อนคลายความเครียดลง ดูเรื่องกังวล-เครียด
 | 
|  |  | 
|  | 
 | 
| เลือดกำเดาไหล | 
|  | 1. ให้นั่งนิ่งๆ, หงายศีรษะไปด้านหลัง พิงพนักหรือผนัง,หรือนอนหนุนไหล่ | 
| ให้สูงแล้วหงายศีรษะพิงหมอน | 
|  | 2. ปลอบใจให้สงบใจ ให้หายใจยาวๆ (ยิ่งตื่นเต้นตกใจ เลือดยิ่งออกมาก) | 
|  | 3. ใช้นิ้วมือบีบจมูกทั้ง 2 ข้างให้แน่น โดยให้หายใจทางปากแทน | 
| หรือใช้ผ้าสะอาดม้วนอุดรูจมูกข้างนั้น หรือ กดจุด | 
|  | 4. วางน้ำแข็งหรือผ้าเย็นบนสันจมูก หน้าผาก และใต้ขากรรไกร | 
|  | 5. ถ้าเลือดไม่หยุด รีบพาไปโรงพยาบาล | 
|  | 6. ถ้ามีเลือดกำเดาออกบ่อย ควรปรึกษาหมอ, อาจเป็นความดันเลือดสูง | 
| หรือโรคอื่น ๆ ได้ 
 
 
 | 
|  |  | 
|  | 
 | 
| การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย | 
|  |  | 
| 
การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโดยผู้ช่วยเหลือสองคน | 
|  | วิธีที่ 1 อุ้มและยก เหมาะสำหรับผู้ป่วยรายในรายที่ไม่รู้สึกตัว แต่ไม่ควรใช้ | 
| ในรายที่มีการบาดเจ็บของลำตัว หรือกระดูกหัก 
 
 
 | 
|  |  | 
|  | ภาพการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยด้วยวิธีอุ้มและยก | 
|  |  | 
|  | วิธีที่ 2 นั่งบนมือทั้งสี่ที่จับประสานกันเป็นแคร่ เหมาะสำหรับผู้ป่วยในรายที่ขาเจ็บ | 
| แต่รู้สึกดีและสามารถใช้แขนทั้งสองข้างได้ | 
|  | วิธีเคลื่อนย้าย ผู้ช่วยเหลือทั้งสองคนใช้มือขวากำข้อมือซ้ายของตนเอง | 
| ขณะเดียวกันก็ใช้มือซ้ายกำมือขวาซึ่งกันและกัน ให้ผู้ป่วยใช้แขนทั้งสองยันตัวขึ้นนั่งบนมือทั้งสี่ที่จับประสานกันเป็นแคร่ แขนทั้งสองของผู้ป่วยโอบคอผู้ช่วยเหลือ จากนั้นวางผู้ป่วยบนเข่าเป็นจังหวะที่หนึ่ง และอุ้มยืนเป็นจังหวะที่สอง แล้วจึงเดินไปพร้อมๆ กัน 
 
 
 | 
|  |  | 
|  | ภาพการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยด้วยวิธีนั่งบนมือทั้งสี่ที่ประสานกันเป็นแคร่ | 
|  |  | 
|  | วิธีที่ 3 การพยุงเดิน วิธีนี้ใช้ในรายที่ไม่มีบาดแผลรุนแรง หรือกระดูกหัก | 
| และผู้บาดเจ็บยังรู้สึกตัวดี 
 
 | 
|  |  | 
|  | การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยด้วยวิธีพยุงเดิน | 
|  | 
 | 
| การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโดยผู้ช่วยเหลือสามคน | 
|  | วิธีที่ 1 อุ้มสามคนเรียง เหมาะสำหรับผู้ป่วยในรายที่ไม่รู้สึกตัว ต้องการอุ้มขึ้น | 
| วางบนเตียงหรืออุ้มผ่านทางแคบ ๆ | 
|  | วิธีเคลื่อนย้าย ผู้ช่วยเหลือทั้งสามคนคุกเข่าเรียงกันในท่าคุกเข่าข้างเดียว | 
| ทุกคนสอดมือเข้าใต้ตัวผู้ป่วย และอุ้มพยุงไว้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายดังนี้ | 
|  | คนที่ 1 สอดมือทั้งสองเข้าใต้ตัวผู้ป่วยตรงบริเวณคอและหลังส่วนบน | 
|  | คนที่ 2 สอดมือทั้งสองเข้าใต้ตัวผู้ป่วยตรงบริเวณหลังส่วนล่างและก้น | 
|  | คนที่ 3 สอดมือทั้งสองเข้าใต้ขา | 
|  | ผู้ช่วยเหลือคนที่อ่อนแอที่สุดควรเป็นคนที่ 3 เพราะรับน้ำหนักน้อยที่สุด | 
| เมื่อจะยกผู้ป่วยผู้ช่วยเหลือทั้งสามคน จะต้องทำงานพร้อมๆ กัน โดยให้คนใดคนหนึ่งเป็นออกคำสั่ง ขั้นแรก ยกผู้ป่วยพร้อมกันและวางบนเข่า จากท่านี้เหมาะสำหรับจะยกผู้ป่วยขึ้นวางบนเปลฉุกเฉินหรือบนเตียง แต่ถ้าจะอุ้มเคลื่อนที่ผู้ช่วยเหลือทั้งสามคน จะต้องประคองตัวผู้ป่วยในท่านอนตะแคง และอุ้มยืน เมื่อจะเดินจะก้าวเดินไปทางด้านข้างพร้อมๆ กัน และถ้าจะวาง ผู้ป่วยให้ทำเหมือนเดิมทุกประการ คือ คุกเข่าลงก่อนและค่อย ๆ วางผู้ป่วยลง 
 
 | 
|  |  | 
|  | การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยด้วยวิธีอุ้มสามคนเรียง | 
|  |  | 
|  | วิธีที่ 2 การใช้คน 3 คน วิธีนี้ใช้ในรายที่ผู้บาดเจ็บนอนหงาย หรือ นอนคว่ำก็ได้ | 
| ให้คางของผู้บาดเจ็บยกสูงเพื่อเปิดทางเดินหายใจ | 
|  | 1. ผู้ปฐมพยาบาล 2 คนคุกเข่าข้างลำตัวผู้บาดเจ็บข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่ง | 
| ผู้ปฐมพยาบาลอีก 1 คน คุกเข่าข้างลำตัวผู้บาดเจ็บ | 
|  | 2. ผู้ปฐมพยาบาลคนที่ 1 ประคองที่ศีรษะและไหล่ผู้บาดเจ็บ มืออีกข้างหนึ่ง | 
| รองส่วนหลังผู้บาดเจ็บ | 
|  | ้3. ผู้ปฐมพยาบาลคนที่ 2 อยู่ตรงข้ามคนที่ 1 ใช้แขนข้างหนึ่งรองหลังผู้บาดเจ็บ | 
| เอามือไปจับมือคนที่ 1 อีกมือหนึ่งรองใต้สะโพกผู้บาดเจ็บ | 
|  | 4. ผู้ปฐมพยาบาลคนที่ 3 มือหนึ่งอยู่ใต้ต้นขาเหนือมือคนที่ 2 ที่รองใต้สะโพก | 
| แล้วเอามือไปจับกับมือคนที่ 2 ที่รองใต้สะโพกนั้น ส่วนมืออีกข้างหนึ่งรองที่ขาใต้เข่า | 
|  | 5. มือคนที่ 1 และคนที่ 2 ควรจับกันอยู่ระหว่างกึ่งกลางลำตัวส่วนบนของผู้บาดเจ็บ | 
| ผู้ปฐมพยาบาลจะต้องให้สัญญาณลุกขึ้นยืนพร้อม ๆ กัน 
 
 | 
|  |  | 
|  | การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยด้วยวิธีใช้คน 3 คน 
 
 | 
|  |  | 
|  | 
 | 
| การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโดยใช้ผ้าห่ม | 
|  | ใช้กรณีที่ไม่มีเปลหามแต่ไม่เหมาะกับผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บบริเวณหลัง | 
|  | วิธีเคลื่อนย้าย พับผ้าห่มตามยาวทบกันเป็นชั้น ๆ 2-3 ทบ | 
| โดยวิธีการพับผ้าห่มพับเช่นเดียวกับการพับกระดาษทำพัด วางผ้าห่มขนาบชิดตัวผู้ป่วยทางด้านข้าง ผู้ช่วยเหลือคุกเข่าลงข้างตัวผู้ป่วยอีกข้างหนึ่ง จับผู้ป่วยตะแคงตัวเพื่อให้นอนบนผ้าห่ม แล้วดึงชายผ้าห่มทั้งสองข้างออก เสร็จแล้วจึงม้วนเข้าหากัน จากนั้นช่วยกันยกตัวผู้ป่วยขึ้น ผู้ช่วยเหลือคนหนึ่งต้องประคองศีรษะผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยที่สงสัยว่า ได้รับบาดเจ็บที่คอหรือหลัง 
 
 
 | 
|  |  | 
|  | การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโดยใช้ผ้าห่ม | 
|  | 
 | 
| การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโดยใช้เปลหาม | 
|  | เปลหรือแคร่มีประโยชน์ในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย อาจทำได้ง่ายโดยดัดแปลงวัสดุ | 
| การใช้เปลหามจะสะดวกมากแต่ยุ่งยากบ้างขณะที่จะอุ้มผู้ป่วยวางบนเปลหรืออุ้มออกจากเปล | 
|  |  | 
| วิธีการเคลื่อนย้าย | 
|  | เริ่มต้นด้วยการอุ้มผู้ป่วยนอนราบบนเปล จากนั้นควรให้ผู้ช่วยเหลือคนหนึ่ง | 
| เป็นคนออกคำสั่งให้ยกและหามเดิน เพื่อความพร้อมเพรียงและนุ่มนวล ถ้ามีผู้ช่วยเหลือสองคน คนหนึ่งหามทางด้านศีรษะ อีกคนหามทางด้านปลายเท้าและหันหน้าไปทางเดียวกัน ซึ่งหมายความว่าผู้ช่วยเหลือที่หามทางด้านปลายเท้าจะเดินนำหน้า หากมีผู้ช่วยเหลือ 4 คน ช่วยหาม อีก 2 คน จะช่วยหามทางด้านข้างของเปลและหันหน้าเดินไปทางเดียวกัน 
 
 
 | 
|  |  | 
|  | การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโดยใช้เปลหาม | 
|  |  | 
| วัสดุที่นำมาดัดแปลงทำเปลหาม | 
|  | 1. บานประตูไม้ | 
|  | 2. ผ้าห่มและไม้ยาวสองอัน วิธีทำเปลผ้าห่ม ปูผ้าห่มลงบนพื้นใช้ไม้ยาวสองอัน | 
| ยาวประมาณ 2.20 เมตร | 
|  | - อันที่ 1 สอดในผ้าห่มที่ได้พับไว้แล้ว | 
|  | - อันที่ 2 วางบนผ้าห่ม โดยให้ห่างจากอันที่ 1 ประมาณ 60 ซม. จากนั้น | 
| พับชายผ้าห่มทับไม้อันที่ 2 และอันที่ 1 ตามลำดับ 
 
 
 | 
|  |  | 
|  | การใช้ผ้าห่มมาดัดแปลงทำเปลหามผู้ป่วย | 
|  |  | 
|  | 3. เสื้อและไม้ยาว 2 อัน | 
|  | นำเสื้อที่มีขนาดใหญ่พอๆกันมาสามตัว ติดกระดุมให้เรียบร้อย ถ้าไม่แน่ใจ | 
| ว่ากระดุมจะแน่นพอให้ใช้เข็มกลัดซ่อนปลายช่วยด้วย แล้วสอดไม้สองอันเข้าไปในแขนเสื้อ 
 
 
 | 
|  |  | 
|  | การใช้เสื้อมาดัดแปลงทำเปลหาม 
 ที่มา : http://krusathien.bmk2.net/payaban/payaban.htm#การปฐมพยาบาลเบื้องต้น
 | 
 
ความคิดเห็น