จำนวนผู้เยี่ยมชม
ระบบจ่ายไฟฟ้าเริ่มจากสถานีย่อยซึ่งมีสายไฟหลายเส้นต่อผ่านเซอร์กิตเบรกเกอร์ออกมาสู่ลูกค้าที่บริเวณต่างๆ สายจ่ายไฟจะต่อเข้ากับอุปกรณ์รับไฟฟ้าของโรงงานหรืออาคาร อุปกรณ์รับไฟฟ้าแต่ละตัวจะมีอุปกรณ์ป้องกันต่ออยู่ เมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือเกิดลัดวงจรขึ้น เบรกเกอร์จะทำการตัดไฟฟ้าเพื่อแยกอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นและจำกัดความเสียหายไว้เฉพาะอุปกรณ์ที่เกิดอุบัติเหตุเท่านั้น
รูป แผนผังระบบการจ่ายไฟฟ้าทั่วไป
ตัวอย่างเช่น หากเกิดอุบัติเหตุไฟฟ้าลัดวงจรขึ้นในโรงงานหรือสำนักงาน
กระแสไฟฟ้านั้นจะไหลในสถานีไฟฟ้าย่อยด้วย แต่อุปกรณ์ป้องกันระบบไฟฟ้าของโรงงานหรืออาคารจะต้องทำงานเร็วกว่าสถานีไฟฟ้าย่อยและทำการตัดวงจรออกไป
ทั้งนี้จำเป็นต้องตั้งค่าความสัมพันธ์ระหว่างค่า
กระแสไฟฟ้าและเวลาในการทำงานของอุปกรณ์ป้องกันให้มีความแตกต่างกันระหว่างโรงงานและสถานีไฟฟ้า
ทั้งนี้เพื่อลดความเสียหายต่ออุปกรณ์ให้เหลือน้อยที่สุด
รวมทั้งป้องกันไม่ให้อุบัติเหตุส่งผลกระทบถึงสถานีไฟฟ้าอีกด้วย
มาตรการนี้เรียกว่าการจัดความสัมพันธ์ของการป้องกัน (Protection
co-ordination)
หากอุปกรณ์ป้องกันระบบไฟฟ้าไม่ทำงานตามปกติ
เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นในโรงงานหรือสำนักงาน เบรกเกอร์ของสถานีไฟฟ้าย่อยจะทำงานพร้อมๆ กับการเกิดอุบัติเหตุ ทำให้สำนักงานหรือบ้านเรือนอื่นๆ
ที่เชื่อมต่ออยู่กับสายจ่ายไฟฟ้าเดียวกันไฟดับไปด้วย ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า
อุบัติเหตุต่อเนื่อง
รูปแบบของระบบการจ่ายพลังงานไฟฟ้า
สถานีไฟฟ้าย่อยหรือระบบการจ่ายพลังงานไฟฟ้ามีอยู่
4
แบบด้วยกัน คือ
1. ระบบสายประธานเดี่ยว
2. ระบบสายประธานคู่
3. ระบบสายประธานสองชุด
4. ระบบสปอตเนตเวิร์ค
(Spot
network)
ระบบสายประธานเดี่ยว
(Simple
radial)
เป็นระบบจ่ายไฟสายประธานเดี่ยว
(Single primary service) และจ่ายเข้าหม้อแปลงไฟฟ้ากำลังผ่านเข้าสู่สายป้อน (Feeder) ดังรูปด้านล่าง ข้อดีของระบบนี้คือ เป็นระบบที่ง่ายและราคาถูกที่สุด
สะดวกต่อการป้องกันการจัดลำดับเวลาการทำงาน (Co-ordinate) ระบบนี้เหมาะสำหรับโรงงานขนาดย่อมที่สามารถหยุดการผลิตได้ในบางเวลา
รูป ระบบสายประธานเดี่ยว
(Simple radial)
ระบบสายประธานคู่
(Primary
selective radial)
เป็นระบบที่เหมือนกับระบบสายประธานเดี่ยว
เพียงแต่เพิ่มวงจรสำรองให้รับไฟเป็นวงจรคู่
ซึ่งในบางครั้งจำเป็นต้องซ่อมแซมสายไฟฟ้าแรงสูงชุดหนึ่งชุดใด ข้อดีของระบบจ่ายไฟนี้คือ
ระบบมีความน่าเชื่อถือดีขึ้น
รูป ระบบสายประธานคู่
(Primary selective radial)
ระบบสายประธานสองชุด
(Secondary
selective)
ระบบนี้จะทำงานเป็นแบบระบบสายประธานเดี่ยว
2
ชุด แต่ละชุดจะถูกเชื่อมโยง (Tie) ด้วยตัดตอนอัตโนมัติ
(T) ถ้าสายไฟแรงสูงหรือหม้อแปลงชุดใดชุดหนึ่งเกิดเสียหาย
สวิตซ์ตัดตอน(M) จะปลดวงจรชุดนั้น (Open)
และสวิตซ์ตัดตอน (T) จะเชื่อมต่อวงจร (Close)
ถึงกันทันที ซึ่งอาจจะเป็นแบบอัตโนมัติหรือไม่อัตโนมัติก็ได้
ระบบสายประธานสองชุดเป็นวงจรที่นิยมใช้กันมากในขณะนี้ ถ้าสายไฟแรงสูงหรือหม้อแปลงชุดใดชุดหนึ่งเกิดขัดข้อง
หม้อแปลงตัวที่เหลือจะต้องจ่ายโหลดทั้งหมด
รูป ระบบสายประธานสองชุด
(Secondary selective)
เพื่อจะให้หม้อแปลงทำงานได้ดีจำเป็นต้องพิจารณาดังต่อไปนี้
1) หม้อแปลงทั้งสองตัวจะต้องมีขนาดใหญ่เพื่อให้แต่ละตัวสามารถรับโหลดได้ทั้งหมด
2) ต้องจัดหาพัดลมระบายความร้อนสำหรับหม้อแปลงในช่วงสภาวะฉุกเฉิน
3) ปลดโหลดที่ไม่จำเป็นในช่วงสภาวะฉุกเฉิน
4) ใช้ขนาดอุปกรณ์ป้องกันโหลดเกินตามความสามารถของหม้อแปลง และสามารถทำงานได้โดยไม่ทำให้อายุการใช้งานของหม้อแปลงลดลง
2) ต้องจัดหาพัดลมระบายความร้อนสำหรับหม้อแปลงในช่วงสภาวะฉุกเฉิน
3) ปลดโหลดที่ไม่จำเป็นในช่วงสภาวะฉุกเฉิน
4) ใช้ขนาดอุปกรณ์ป้องกันโหลดเกินตามความสามารถของหม้อแปลง และสามารถทำงานได้โดยไม่ทำให้อายุการใช้งานของหม้อแปลงลดลง
สำหรับข้อดีของระบบนี้คือ
หม้อแปลงไม่ได้ต่อขนานกัน วิสัยสามารถตัดกระแส (Interrupting capacity หรือ IC)
ของ เซอร์กิตเบรคเกอร์ (CB) มีค่าเท่ากับแบบระบบสายประธานเดี่ยวระบบนี้มีความเชื่อถือสูง
ระบบสปอตเนตเวิร์ค
(Spot
network)
ระบบนี้จะประกอบด้วยหม้อแปลงจ่ายไฟ
2
ชุด หรือมากกว่า ต่อแยกเป็นอิสระกัน ส่วนทางด้านแรงต่ำจะต่อขนานโดยผ่านสวิตซ์ตัดตอนชนิดพิเศษ
เรียกว่า Network protector ถ้าสายป้อนแรงสูงหรือหม้อแปลงชุดใดชุดหนึ่งเกิดขัดข้องกำลังไฟฟ้าจะถูกป้อนผ่านหม้อแปลงตัวอื่นและผ่าน
Network protector ไปยังจุดที่ขัดข้อง
พลังงานไฟฟ้าที่ป้อนกลับเป็นเหตุให้ Network protector เปิดวงจร
และปลดแหล่งจ่ายออกจากวงจรแรงดันต่ำ สำหรับระบบจ่ายไฟนี้มีราคาแพงเพราะ Network
protector มีราคาสูง และวิสัยสามารถตัดกระแส (IC) เพิ่มขึ้นเนื่องจากหม้อแปลงขนานกัน แต่ความสม่ำเสมอของแรงดันดี
ที่มา : https://ienergyguru.com/2015/10/ระบบการจ่ายกำลังไฟฟ้า/
ความคิดเห็น