![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
หลอดฟลูออเรสเซนต์ (Fluorescent)
คือหลอดไฟชนิดหนึ่ง
ทำงานโดยการเรืองแสง นิยมใช้ในบ้านและอาคารทั่วไป
ส่วนประกอบของหลอดฟลูออเรสเซนต์
1. ตัวหลอด ทำด้วยหลอดแก้ว
ลักษณะกลมยาว มีขั้วหลอดอยู่ที่ปลายด้านละขั้ว ด้านในหลอดฉาบด้วยฟอสเฟอร์
หรือสารเรืองแสง ภายในบรรจุก๊าซเฉื่อย เช่น อาร์กอน และไอปรอท
หลอดฟลูออเรสเซนต์ที่ใช้โดยทั่วไปจะมีลักษณะกลมยาว
18,
36 วัตต์ และเป็นวงกลม ขนาด 32 วัตต์
ภาพที่ 1 แสดงลักษณะของหลอดฟลูออเรสเซนต์
2.
บาลาส ทำจากขดลวดพันบนแกนเหล็ก จะทำหน้าที่ตามลำดับในวงจรเป็น 2 ขั้นตอน คือ
- เพิ่มแรงดันตอนสตาร์ท
เพื่อดันให้อิเล็กตรอนไหลข้ามขั้วหลอดจากขั้วหนึ่งไปยังอีกขั้วหนึ่งได้
- และเมื่อหลอดติดแล้วจะทำหน้าที่เหมือนความต้านทานเพื่อจำกัดกระแสให้ไหลตามขนาดวัตต์ของหลอด ดังนั้นการใช้บาลาสจะต้องเลือกใช้ขนาดเดียวกับหลอดไฟ หากใช้ขนาดของบาลาสวัตต์น้อยกว่าหลอดจะทำให้หลอดไม่ติด หรือติดแต่สว่างไม่เต็มที่ แต่หากใช้ขนาดของบาลาสวัตต์มากกว่าหลอด จะทำให้กระแสไหลเกินความต้องการของหลอดทำให้หลอดขาดได้
- และเมื่อหลอดติดแล้วจะทำหน้าที่เหมือนความต้านทานเพื่อจำกัดกระแสให้ไหลตามขนาดวัตต์ของหลอด ดังนั้นการใช้บาลาสจะต้องเลือกใช้ขนาดเดียวกับหลอดไฟ หากใช้ขนาดของบาลาสวัตต์น้อยกว่าหลอดจะทำให้หลอดไม่ติด หรือติดแต่สว่างไม่เต็มที่ แต่หากใช้ขนาดของบาลาสวัตต์มากกว่าหลอด จะทำให้กระแสไหลเกินความต้องการของหลอดทำให้หลอดขาดได้
ภาพที่ 2 แสดงบาลาส ใช้ประกอบหลอดฟลูออเรสเซนต์
3. สตาร์ทเตอร์ ทำหน้าที่อุ่นไส้หลอด
เพื่อให้อิเล็กตรอนเกิดการแตกตัวได้ดี
ภายในของสตาร์ทเตอร์จะมีลักษณะเหมือนหลอดนีออน
ภายในจะมีแผ่นโลหะ 2 แผ่นวางอยู่ห่างกัน
แผ่นโลหะแผ่นหนึ่งของสตาร์ทเตอร์จะทำจากแผ่นไบเมททอล
นอกจากนี้สตาร์ทเตอร์บางตัวอาจมีตัวเก็บประจุต่อคร่อมเอาไว้ เพื่อป้องกันคลื่นความถี่รบกวนขณะทำงาน
แผ่นโลหะแผ่นหนึ่งของสตาร์ทเตอร์จะทำจากแผ่นไบเมททอล
นอกจากนี้สตาร์ทเตอร์บางตัวอาจมีตัวเก็บประจุต่อคร่อมเอาไว้ เพื่อป้องกันคลื่นความถี่รบกวนขณะทำงาน
ภาพที่ 3
แสดงสตาร์ทเตอร์ ใช้ประกอบหลอดฟลูออเรสเซนต์
1. เมื่อเราจ่ายแรงดันไฟฟ้าให้กับวงจร
จะมีกระแสไหลจากสายไฟเข้าสู่บาลาส จากบาลาสเขาสู่ขั้วหลอด
และไหลผ่านขั้วหลอดเข้าสู่สตาร์ทเตอร์
และสิ้นสุดที่สตาร์ทเตอร์ไม่สามารถไหลผ่านไปได้
จึงทำให้เกิดแรงดันตกคร่อมที่สตาร์ทเตอร์ เท่ากับแรงดันที่จ่าย คือ 220 V
2. เมื่อเกิดแรงดันตกคร่อมที่สตาร์ทเตอร์
220 V
จะทำให้สตาร์ทเตอร์เกิดการเรืองแสงขึ้นมา
เหมือนการทำงานของหลอดนีออน เมื่อเกิดแสงก็จะเกิดความร้อนตามมา
ทำให้แผ่นไบเมททอลที่อยู่ภายในเกิดการงอตัวไปแตะแผ่นโลหะอีกแผ่น
ทำให้แสงที่สตาร์ทเตอร์หายไป และกระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านสตาร์ทเตอร์เข้าสู่ขั้วหลอดอีกด้านหนึ่งและไหลผ่านออกไปครบวงจรที่สายนิวตรอล (ขั้นตอนนี้เราจะสังเกตเห็นว่าเมื่อเปิดสวิทซ์ สตาร์ทเตอร์จะสว่าง สักครู่และดับ)
3. เมื่อกระแสไหลได้ครบวงจรไส้หลอดของหลอดฟลูออเรสเซนต์ทั้งสองด้านจะติดสว่าง
เหมือนกับมีหลอดไฟ 2 หลอด ทำให้ไส้หลอดอุ่นและร้อนขึ้น
ช่วงนี้เราเรียกว่าช่วงอุ่นไส้หลอด จะทำให้อิเล็กตรอนที่ไส้หลอดแตกตัวได้ดี
ขณะที่อุ่นไส้หลอดอยู่ แผ่นไบเมททอลที่สตาร์ทเตอร์ก็จะค่อยๆ เย็นตัวลงและหดตัวกลับตำแหน่งเดิมทำให้วงจรเปิดกระแสไฟฟ้าจะหยุดไหล
มีผลทำให้บาลาสเหนี่ยวนำแรงดันไฟฟ้าสูงขึ้นจนสามารถไปผลักให้อิเล็กตรอนวิ่งจากขั้วหลอดด้านที่จ่ายไฟเข้า ไปยังขั้วหลอดอีกด้านหนึ่งได้
ทำให้ครบวงจรอีกครั้งหนึ่ง
(ขั้นตอนนี้เราจะสังเกตเห็นขั้วหลอดสว่างทั้งสองด้านและดับในเวลาต่อมา
จากนั้นหลอดจะเกิดการเรืองแสงขึ้นและสว่าง หรือไฟติดนั่นเอง)
สาเหตุที่หลอดฟลูออเรสเซนต์เรืองแสงได้
เป็นเพราะอิเล็กตรอนที่วิ่งข้ามจากขั้วหลอดด้านหนึ่งไปยังขั้วหลอดอีกด้านหนึ่งนั้น
จะไปชนกับไอปรอทที่บรรจุอยู่ภายในหลอด ทำให้เกิดรังสีอัลตร้าไวโอเลต รังสีอัลตร้าไวโอเลตที่เกิดไปกระทบกับสารเรืองแสงสีขาวที่ฉาบอยู่ด้านในของหลอดทำปฏิกิริยากันเกิดการเรืองแสงขึ้นมา
จากกระบวนการตามขั้นตอนที่ 1 - 3
หากยังไม่สามารถทำให้หลอดฟลูออเรสเซนต์ติดได้ในครั้งแรก ก็จะไปเริ่มกระบวนการใหม่ตามลำดับต่อไปเรื่อยๆ
จนกว่าหลอดจะติด (ข้อสังเกตเมื่อเราเปิดหลอดฟลูออเรสเซนต์
สตาร์ทเตอร์กระพริบครั้งเดียวและหลอดติดเลย หรือกระพริบหลายครั้งกว่าหลอดจะติด)
4.
เมื่อหลอดฟลูออเรสเซนต์ติดแล้ว จะมีแรงดันตกคร่อมที่บาลาสประมาณ 170 V และตกคร่อมที่หลอดและสตาร์ทเตอร์ ประมาณ 120 V ทำให้สตาร์ทเตอร์ไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไป
เพราะสตาร์ทเตอร์ถูกออกแบบให้ทำงานได้ เมื่อมีแรงดันตกคร่อม ประมาณ 180 V ขึ้นไป ดังนั้นในการใช้งานปกติหากแรงดันไฟฟ้าตกมากกว่า 180 V จะทำให้หลอดฟลูออเรสเซนต์ไม่สามารถทำงานได้ หรือกรณีสตาร์ทเตอร์ทำงานผิดปกติ คือขณะหลอดติดอยู่สตาร์ทเตอร์ทำงานอีกก็จะทำให้หลอดดับ
และติดอีกไปเรื่อยๆ กลายเป็นหลอดกระพริบ
ข้อแนะนำในการใช้หลอดฟลูออเรสเซนต์
1. หลอดแบบ Preheat ไม่เหมาะสำหรับใช้กับห้องที่มีเพดานสูงเกินกว่า 5 - 7 เมตร เพราะต้องใช้หลอดจำนวนมาก การที่อายุหลอดไม่มากนัก ทำให้ต้องเปลี่ยนหลอดบ่อย เปลืองค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา
2. ถ้าจำเป็นต้องใช้หลอดฟลูออเรสเซนต์ในพื้นที่ที่มีความสูงเกินกว่า 7 เมตร ให้ใช้หลอดแบบ Rapid start จะเหมาะกว่า เพราะมีอายุการใช้งานนานถึง 20,000 ชั่วโมงและไม่มีปัญหาเรื่อง starter
3. ควรเลือกสีของหลอดฟลูออเรสเซนต์ให้เหมาะสมกับงานเช่น daylight , warm white , cool white เป็นต้น
4. งานที่ต้องการความส่องสว่างสูงกว่า 500 ลักซ์ควรใช้หลอด daylight
5. งานที่ต้องการความส่องสว่าง 300 - 500 ลักซ์ควรใช้หลอด cool white
6. งานที่ต้องการความส่องสว่างต่ำกว่า 300 ลักซ์ควรใช้หลอด warm white
7. การเลือกใช้สีของหลอดอาจพิจารณาพื้นที่ใช้สอยประกอบกัน โดยพื้นที่ที่อยู่ติดกันควรใช้หลอดที่มีโทนสีใกล้เคียงกัน
8. หลอดฟลูออเรสเซนต์เป็นหลอดที่มีฮาร์มอนิก ซึ่งมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการเลือกใช้บัลลาสต์
1. หลอดแบบ Preheat ไม่เหมาะสำหรับใช้กับห้องที่มีเพดานสูงเกินกว่า 5 - 7 เมตร เพราะต้องใช้หลอดจำนวนมาก การที่อายุหลอดไม่มากนัก ทำให้ต้องเปลี่ยนหลอดบ่อย เปลืองค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา
2. ถ้าจำเป็นต้องใช้หลอดฟลูออเรสเซนต์ในพื้นที่ที่มีความสูงเกินกว่า 7 เมตร ให้ใช้หลอดแบบ Rapid start จะเหมาะกว่า เพราะมีอายุการใช้งานนานถึง 20,000 ชั่วโมงและไม่มีปัญหาเรื่อง starter
3. ควรเลือกสีของหลอดฟลูออเรสเซนต์ให้เหมาะสมกับงานเช่น daylight , warm white , cool white เป็นต้น
4. งานที่ต้องการความส่องสว่างสูงกว่า 500 ลักซ์ควรใช้หลอด daylight
5. งานที่ต้องการความส่องสว่าง 300 - 500 ลักซ์ควรใช้หลอด cool white
6. งานที่ต้องการความส่องสว่างต่ำกว่า 300 ลักซ์ควรใช้หลอด warm white
7. การเลือกใช้สีของหลอดอาจพิจารณาพื้นที่ใช้สอยประกอบกัน โดยพื้นที่ที่อยู่ติดกันควรใช้หลอดที่มีโทนสีใกล้เคียงกัน
8. หลอดฟลูออเรสเซนต์เป็นหลอดที่มีฮาร์มอนิก ซึ่งมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการเลือกใช้บัลลาสต์
ความคิดเห็น