![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
ไฟฟ้ากระแสสลับ (Alternating Current, AC) เกิดได้จากหลักการขดลวดเคลื่อนที่ตัดสนามแม่เหล็ก หรือสนามแม่เหล็กเคลื่อนที่ตัดขดลวด ซึ่งเป็นวิธีการให้กำเนิดไฟฟ้าวิธีหนึ่งในหลายๆ วิธี ที่สามารถให้กำเนิดไฟฟ้าได้ ซึ่งถูกค้นพบโดยไมเคิล ฟาราเดย์
ซึ่งการกำเนิดไฟฟ้าด้วยการใช้สนามแม่เหล็ก ได้มีนักประดิษฐ์ คิดประดิษฐ์เครื่องกำเนิดไฟฟ้าขึ้นมาเรียกว่าเจนเนอเรเตอร์
(Generator)
ซึ่งมีลักษณะส่วนประกอบต่างๆ คล้ายกับมอเตอร์
และบางตัวอาจจะสามารถเป็นได้ทั้งมอเตอร์ และเจนเนอเรเตอร์เลยทีเดียว
ขึ้นอยู่กับการให้พลังงานคือ ถ้าเราทำให้มันหมุนได้ (ให้พลังงานกล)
มันก็จะสามารถจ่ายพลังงานไฟฟ้าออกมาให้กับเรา แต่ถ้าเราจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับมัน
มันก็จะสามารถหมุนได้
แรงดันไฟฟ้าเหนี่ยวนำที่เกิดขึ้นจากการใช้ขดลวดเคลื่อนที่ตัดสนามแม่เหล็ก
หรือสนามแม่เหล็กเคลื่อนที่ตัดขดลวด ในลักษณะทำมุมตั้งฉากกัน ( 90 องศา ) จะมีค่ามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ
1. ความหนาแน่นของสนามแม่เหล็ก
2. ความยาวของขดลวด
3.
ความเร็วในการเคลื่อนที่ของขดลวดที่ตัดกับสนามแม่เหล็ก
ดังนั้น ถ้าเราให้
e = แรงดันไฟฟ้าเหนี่ยวนำ
มีหน่วยเป็นโวลต์ (V)
B = ความหนาแน่นของสนามแม่เหล็ก
มีหน่วยเป็นเวเบอร์ต่อตารางเมตร (Wb/m2)
l = ความยาวของขดลวด มีหน่วยเป็นเมตร (m)
v = ความเร็วในการตัดกันของขดลวดกับสนามแม่เหล็ก
มีหน่วยเป็น เมตรต่อวินาที (m/s)
จะสามารถหาค่าแรงดันเหนี่ยวนำได้จากสูตร
e = Blv
ภาพที่ 1 แสดงการเกิดไฟฟ้าโดยขดลวดเคลื่อนที่ตัดสนามแม่เหล็กเป็นมุมฉาก
ซึ่งจะทำให้เกิดไฟฟ้าได้มากที่สุด
ตัวอย่างที่
1
ขดลวดตัวนำยาว 15 เมตร เคลื่อนที่ตัดผ่านสนามแม่เหล็กที่มีความหนาแน่น 0.7
Wb/m2 ด้วยความเร็ว 30 m/s
จงคำนวณหาขนาดแรงดันไฟฟ้าเหนี่ยวนำที่เกิดขึ้นในลวดตัวนำ
วิธีทำ
จากสูตร e = Blv
โจทย์กำหนดให้ B = 0.7
Wb/m2
l = 15 m
v
= 30 m/s
แทนค่าในสูตร
จะได้
e
= Blv
= 0.7 x 15
x 30
= 315 V
แต่จากสูตรการหาแรงดันไฟฟ้าเหนี่ยวนำใช้กับการเคลื่อนที่ตัดกันของขดลวดและสนามแม่เหล็กในแนวตั้งฉากกันเท่านั้น
ซึ่งจากตัวอย่างด้านบน แรงดันไฟฟ้าเหนี่ยวนำที่หาได้ 315 V
คือแรงดันไฟฟ้าที่มีค่ามากที่สุด ที่เครื่องกำเนิดไฟฟ้าจะสามารถสร้างได้
ที่ขดลวดและสนามแม่เหล็กตัดกันในแนวตั้งฉากกันเท่านั้น คือที่จุด 90 องศาด้านบวก และ 270 องศา ด้านลบเท่านั้น
ส่วนในตำแหน่งอื่นแรงดันไฟฟ้าเหนี่ยวนำที่เกิดจะน้อยลง เมื่อมุมในการตัดลดลงน้อยกว่า 90 องศา หรือจะไม่เกิดเลย เมื่อขดลวดและสนามแม่เหล็กเคลื่อนที่ขนานกัน คือ 0 องศา และ 180 องศา ทางไฟฟ้า
เนื่องจากในทางปฏิบัติ หรือในเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
ขดลวดหรือสนานแม่เหล็กจะเคลื่อนที่เป็นลักษณะวงกลม (ส่วนที่เคลื่อนที่)
อีกส่วนหนึ่งก็จะอยู่กับที่ จึงทำให้การตัดกันไม่อยู่ในลักษณะของการตั้งฉากตลอดเวลา
แต่จะเคลื่อนที่ไปเป็นมุมทางไฟฟ้า ตั้งแต่ 0 องศา ไปจนครบรอบที่ 360 องศา
ซึ่งจะทำให้แรงดันเหนี่ยวนำที่เกิดขึ้นมีค่าไม่เท่ากันตลอดเวลา
ตามค่ามุมการตัดที่เปลี่ยนไป โดยจะทำให้แรงดันเหนี่ยวนำมีค่าลดลงจากค่าสูงสุดตามค่าไซน์ (sin)
ของมุมที่ตัด
จึงทำให้ค่าแรงดันของไฟฟ้ากระแสสลับที่เกิดจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้ามีลักษณะเหมือนรูปคลื่น
เราเลยเรียกรูปคลื่นนี้ว่า คลื่นไซน์ (Sine Wave)
โดยรูปคลื่นไซน์ของไฟฟ้ากระแสสลับ
แต่ละช่วงเวลาที่ขดลวดและสนามแม่เหล็กตัดกันที่มุมกี่องศา สามารถหาได้จาก
e
= Emsinq
เมื่อ e = แรงดันไฟฟ้าเหนี่ยวนำที่ตำแหน่งต่างๆ
Em = แรงดันไฟฟ้าเหนี่ยวนำที่มีค่ามากที่สุดที่ขดลวดจะสร้างได้ ( ที่มุม 90 องศา และ 270 องศา ทางไฟฟ้า)
q = มุมที่ขดลวดและสนามแม่เหล็กตัดกัน
ตัวอย่างที่ 2
จากตัวอย่างที่ 1 จงหาค่าแรงดันไฟฟ้าเหนี่ยวนำในตำแหน่งที่ขดลวดและสนามแม่เหล็กตัดกันที่มุม
75 องศา และ 210 องศา
วิธีทำ
จากสูตรหาค่าแรงดันไฟฟ้าเหนี่ยวนำที่ตำแหน่งต่างๆ
e
= Emsinq
จากตัวอย่างที่ 1 แรงดันไฟฟ้าเหนี่ยวนำสูงสุดที่เครื่องกำเนิดไฟฟ้าสามารถสร้างได้คือ
315 V
แทนค่าในสูตรที่ตำแหน่ง 75 องศา
e = 315sin75°
=
315 x 0.966
= 304 V
ดังนั้นที่ตำแหน่ง 75 องศา เครื่องกำเนิดไฟฟ้าสามารถสร้างแรงดันเหนี่ยวนำได้ 304 V ด้านบวก
ดังนั้นที่ตำแหน่ง 75 องศา เครื่องกำเนิดไฟฟ้าสามารถสร้างแรงดันเหนี่ยวนำได้ 304 V ด้านบวก
แทนค่าในสูตรที่ตำแหน่ง 210 องศา
e = 315sin210°
=
315 x (-0.5)
= -157.5 V
ดังนั้นที่ตำแหน่ง 210 องศา เครื่องกำเนิดไฟฟ้าสามารถสร้างแรงดันเหนี่ยวนำได้ 157.5 V ด้านลบ
ดังนั้นที่ตำแหน่ง 210 องศา เครื่องกำเนิดไฟฟ้าสามารถสร้างแรงดันเหนี่ยวนำได้ 157.5 V ด้านลบ
ส่วนสาเหตุที่เราเรียกไฟฟ้าที่เกิดจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าว่าไฟฟ้ากระแสสลับ
ว่าไฟฟ้ากระแสสลับ เนื่องจากสนามแม่เหล็กมีขั้วเหนือและขั้วใต้
ดังนั้นในการเคลื่อนที่ของขดลวดในตอนแรกจะเคลื่อนที่ตัดกับขั้วเหนือของสนามแม่เหล็กทำให้เกิดแรงดันไฟฟ้าในด้านบวก
แต่เมื่อผ่านขั้วเหนือของแม่เหล็กไปแล้วขดลวดก็จะเริ่มกลับมาตัดกับขั้วใต้ของแม่เหล็กจะทำให้แรงดันไฟฟ้ากลับทิศทางการไหลเป็นตรงข้ามหรือด้านลบนั่นเองจนครบ
1 รอบ ก็จะกลับไปเริ่มที่ขั้วเหนือใหม่สลับไปสลับมาอยู่อย่างนี้ไปตลอด
เราเลยเรียกว่าไฟฟ้ากระแสสลับตามลักษณะของแรงดันที่เกิดขึ้นนั่นเอง
ความคิดเห็น