ในวงจรไฟฟ้ากระแสสลับจะมีค่าทางไฟฟ้าค่าหนึ่งที่จะทำให้ค่ากำลังไฟฟ้าเปลี่ยนแปลงไปจากวงจรไฟฟ้ากระแสตรง คือค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้าหรือค่าเพาเวอร์แฟคเตอร์ ( PF ) หรือค่า cosq
สาเหตุที่ในวงจรไฟฟ้ากระแสตรง ไม่ต้องใช้ค่าเพาเวอร์แฟคเตอร์มาเกี่ยวข้องในการคำนวณ เนื่องจากในวงจรไฟฟ้ากระแสตรงค่าเพาเวอร์แฟคเตอร์ จะมีค่าเท่ากับ 1 เสมอ ดังนั้น จึงตัดค่าเพาเวอร์แฟคเตอร์ออก เนื่องจากไม่มีผลให้ค่ากำลังไฟฟ้าเปลี่ยนแปลงไปนั่นเอง ค่ากำลังไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้ากระแสตรง จึงมีค่าเท่ากับแรงดันไฟฟ้าคูณด้วยค่ากระแสไฟฟ้า ตามสูตร
P = EI
แต่ในวงจรไฟฟ้ากระแสสลับ ค่าเพาเวอร์แฟคเตอร์ จะมีค่าอยู่ระหว่าง 0 - 1 ขึ้นอยู่กับในวงจรไฟฟ้าจะมีโหลดเป็นอะไร มาเกี่ยวข้อง จึงทำให้กำลังไฟฟ้า แบ่งออกเป็น 3 ชนิด ดังนี้
1. กำลังไฟฟ้าปรากฎ คือค่ากำลังไฟฟ้าที่แหล่งจ่าย จ่ายให้กับโหลดทั้งหมด
แทนค่าด้วย S มีหน่วยเป็น VA (โวลต์แอมป์)
หาค่าได้จากสูตร S = EI
2. กำลังไฟฟ้าจริง คือค่ากำลังไฟฟ้าที่โหลดสามารถจ่ายให้กับผู้ใช้
แทนค่าด้วย P มีหน่วยเป็น W (วัตต์)
หาค่าได้จากสูตร P = EIcosq
3. กำลังไฟฟ้าต้านกลับ คือกำลังไฟฟ้าส่วนที่เกิดการสูญเสียขึ้นภายในโหลด
แทนค่าด้วย Q มีหน่วยเป็น VAR (วาร์)
หาค่าได้จากสูตร Q = EIsinq
เมื่อค่า q คือ ระยะห่างของมุมระหว่างแรงดันไฟฟ้า และกระแสไฟฟ้าในวงจร
จากสูตรการหาค่ากำลังไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้ากระแสสลับ จะเห็นว่าค่ากำลังไฟฟ้าที่มีค่ามากที่สุดในวงจรคือค่ากำลังไฟฟ้าปรากฎ
ส่วนค่ากำลังไฟฟ้าจริงจะแปรผกผันกับค่ากำลังไฟฟ้าต้านกลับ หมายถึงถ้ากำลังไฟฟ้าจริงมีค่ามาก กำลังไฟฟ้าต้านกลับจะมีค่าน้อยลง หากกำลังไฟฟ้าจริงมีค่าเท่ากับกำลังไฟฟ้าปรากฎ กำลังไฟฟ้าต้านกลับจะมีค่าเท่ากับศูนย์ และหากกำลังไฟฟ้าจริงมีค่าเท่ากับศูนย์ กำลังไฟฟ้าต้านกลับจะมีค่าเท่ากับกำลังไฟฟ้าปรากฎ
โดยกำลังไฟฟ้าทั้ง 3 ชนิด จะสามารถเขียนและคำนวณค่าได้อยู่ในรูปของสามเหลี่ยมพีธาโกรัส ดังรูป
โดยกำลังไฟฟ้าทั้ง 3 ชนิด ตามภาพด้านบน หากเราทราบค่ากำลังไฟฟ้า 2 ชนิด จะสามารถหาค่ากำลังไฟฟ้าที่เหลือ ได้ตามทฤษฎีพีธาโกรัส คือ
ความคิดเห็น