รูปที่ 1 ตัวอย่างอุบัติเหตุจากการทำงานกับไฟฟ้าที่ไม่ถูกต้อง
เนื่องจากมาตรฐานฯ เป็นการเขียนในลักษณะของข้อกำหนด จึงอาจต้องตีความและทำความเข้าใจ และอาจไม่ตรงกันได้ แต่โดยหลักการของการใช้มาตรฐานฯ ทุกเรื่องนั้น ผู้ใช้มาตรฐานฯ จะต้องเป็นบุคคลที่ผ่านการอบรมและ/หรือมีความเข้าใจในมาตรฐานฯ เป็นอย่างดีแล้วเท่านั้น และกรณีไม่มั่นใจต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอความเห็น ผู้เขียนในฐานะประธานคณะอนุกรรมการจัดทำมาตรฐานความปลอดภัยทางไฟฟ้าในสถานที่ทำงาน จึงได้นำมาตรฐานมาเผยแพร่และเพิ่มคำอธิบายไว้ด้วยเพื่อความเข้าใจและนำไปปฏิบัติได้อย่างแท้จริง โดยส่วนที่เป็นเนื้อหาของมาตรฐานฯ จะใช้เป็นตัวอักษรบนพื้นสีเทา
มาตรฐานความปลอดภัยฯ ประกอบด้วยเนื้อเรื่องจำนวน 3 บทคือ
บทที่ 1 ข้อปฏิบัติการทำงานด้วยความปลอดภัย
บทที่ 2 ขัอกำหนดการบำรุงรักษาที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย
บทที่ 3 ข้อกำหนดความต้องการความปลอดภัยสำหรับอุปกรณ์พิเศษ ตามที่แสดงในรูปที่ 2
รูปที่ 2 ส่วนประกอบของมาตรฐาน
บทที่ 1 ข้อปฏิบัติในการทำงานด้วยความปลอดภัย
ขอบเขต ในบทนี้ครอบคลุมเนื้อหา ข้อปฏิบัติ
และข้อกำหนดการทำงานเกี่ยวกับไฟฟ้าด้วยความปลอดภัย
สำหรับผู้ปฏิบัติงานที่ปฏิบัติงานกับตัวนำหรือชิ้นส่วนของวงจรที่มีไฟและไม่มีการปิดหุ้ม
หรือปฏิบัติงานบริเวณใกล้เคียงกับส่วนที่มีไฟฟ้าภายในสถานที่ทำงาน
ซึ่งนายจ้างและผู้ปฏิบัติงาน ต้องนำข้อกำหนดในบทนี้ไปประยุกต์ใช้ แต่อย่างไรก็ตาม วงจรไฟฟ้าและอุปกรณ์
ซึ่งขอบเขตของมาตรฐานนี้มิได้กล่าวถึง
ก็อาจเป็นอันตรายต่อผู้ปฏิบัติงานผู้ซึ่งไม่มีคุณสมบัติซึ่งเข้าไปทำงานใกล้กับบริเวณนั้นได้เช่นกัน
นายจ้างและผู้ปฏิบัติงานก็ต้องระมัดระวังและมีมาตรการที่เหมาะสมด้วย ข้อกำหนดต่าง
ๆ ที่ระบุในบทนี้
มีไว้เพื่อคุ้มครองมิให้ผู้ปฏิบัติงานผู้ไม่มีคุณสมบัติได้รับอันตรายดังกล่าวด้วย
จุดประสงค์ เพื่อเป็นการทำให้สถานที่ปฏิบัติงานมีความปลอดภัยสำหรับผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับอันตรายจากไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจากการเข้าไปทำงานในพื้นที่
ก่อนที่จะลงในรายละเอียดของตัวมาตรฐาน
ผู้เขียนจะขออธิบายแนวคิดและหลักพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการเกิดอันตรายและหลักการป้องกันก่อน
เพื่อความเข้าใจมากขึ้นและให้สามารถทำความเข้าใจกับตัวมาตรฐานฯ ได้ง่ายขึ้น
แนวคิดเรื่องของอุบัติเหตุ
รูปที่ 3 ภูเขาน้ำแข็งของความสูญเสียจากอุบัติเหตุ
อุบัติเหตุหมายถึงความสูญเสีย ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของการบาดเจ็บ การสูญเสียชีวิต ทรัพย์สินเสียหาย ค่ารักษาพยาบาล เงินชดเชย ประกันภัย และความสูญเสียทางอ้อมอื่น ๆ สามารถเปรียบเทียบการสูญเสียในรูปของภูเขาน้ำแข็งที่ลอยในน้ำได้ ส่วนของภูเขาที่มองเห็นเทียบได้กับความสูญเสียที่มองเห็นเช่น ค่ารักษาพยาบาล และค่าชดเชย สำหรับส่วนของภูเขาน้ำแข็งที่จมในน้ำเปรียบได้กับความสูญเสียทางอ้อมที่มักมองไม่เห็นที่มีอยู่จำนวนมากเช่น ทรัพย์สินเสียหาย เครื่องมือเสียหาย ผลผลิตเสียหาย ค่าทำงานล่วงเวลา และค่าสูญเสียการผลิต เป็นต้น ดังนั้นค่าความสูญเสียในส่วนที่มองเห็นนั้นถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับความสูญเสียส่วนที่มองไม่เห็น ในการจัดการด้านความปลอดภัย จึงต้องให้ความสำคัญกับความสูญเสียทั้งหมดของสถานประกอบการ
จากสถิติพบว่า
มากกว่า 80% ของการเกิดอุบัติเหตุเกิดจากการขาดการจัดการที่ดี
ในมาตรฐานฯ นี้จึงเน้นไปที่การจัดการเป็นส่วนใหญ่
ดังนั้นผู้ที่เกี่ยวข้องจึงประกอบด้วยนายจ้าง หัวหน้างาน
และลูกจ้างหรือผู้ปฏิบัติงาน
เรียนรู้เรื่องการเกิดอันตรายจากไฟฟ้า
ลักษณะของการเกิดอันตรายจากไฟฟ้าเกิดได้ใน 3 ลักษณะคือ ไฟฟ้าดูด อาร์ก และการระเบิด
ไฟฟ้าดูด คือการที่บุคคลมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่างกาย
ไฟฟ้าดูดเกิดได้ทั้งกับบุคคลหรือสิ่งมีชีวิติอื่น
เมื่อร่างกายมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านจะมีอาการต่าง ๆ ตามปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ไหล
เส้นทางที่กระแสไฟฟ้าไหลผ่าน และระยะเวลาที่ถูกไฟฟ้าดูด
ผลกระทบของกระแสไฟฟ้าต่อร่างกายของแต่ละบุคคลอาจเปลี่ยนแปลงไปได้ไม่เหมือนกันในแต่ละคน
แต่สามารถกำหนดเป็นค่าเฉลี่ยได้ ซึ่งในมาตรฐานความปลอดภัยฯ กำหนดไว้ ดังนี้
1. ผลของกระแสไฟฟ้ากระแสสลับ
(1) ขนาด 5
mA รับรู้ได้ว่าไฟดูด
(2) ขนาด 10 mA บุคคลอาจไม่สามารถหลุดออกไปพ้นจากอันตรายเนื่องจากไฟฟ้าดูดได้
(3) ขนาดประมาณ 40 mA ไฟดูด ถ้านาน 1 วินาที หรือมากกว่า อาจทำให้เสียชีวิตเนื่องจากหัวใจเต้นผิดจังหวะ
(4) กระแสไฟฟ้าสูงมากกว่านี้
ทำให้เกิดแผลไหม้และหัวใจหยุดเต้น
2. ผลของไฟฟ้ากระแสตรง
(1) กระแสตรง 2
mA รับรู้ได้ว่าไฟดูด
(2) กระแสตรง 10 mA พิจารณาได้เป็นกระแสที่จะปล่อยหลุดได้
3. ผลของแรงดันไฟฟ้า แรงดันไฟฟ้า 30 V rms หรือ 60
V dc ถือว่าปลอดภัย ยกเว้นกรณีผิวหนังมีรอยแตก
ความต้านทานภายในของร่างกายอาจมีค่าต่ำถึง 500 โอห์ม
ดังนั้นอาจทำให้เสียชีวิตได้
4. ผลของการสัมผัสเวลาสั้น ๆ
(1) สำหรับการสัมผัสเป็นเวลาน้อยกว่า 0.1 วินาที
และด้วยกระแสไฟฟ้าเกินกว่า 0.5 mA เล็กน้อย
อาจเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
ถ้าเกิดไฟฟ้าดูดอยู่ในช่องว่างของจังหวะการเต้นของหัวใจ
(2) สำหรับการสัมผัสเป็นเวลาน้อยกว่า 0.4 วินาที
และด้วยปริมาณกระแสมาก ๆ อาจเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
เมื่อไฟฟ้าที่ดูดนี้อยู่ในช่องว่างของจังหวะการเต้นของหัวใจ
(3) สำหรับการสัมผัสเป็นเวลาน้อยกว่า 0.8 วินาที
และด้วยประมาณกระแสไฟฟ้าเกิน 0.5 A เล็กน้อย
อาจเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น (กู้คืนกลับมาได้)
(4) สำหรับการสัมผัสเป็นเวลามากกว่า 0.8 วินาที
และด้วยกระแสประมาณมาก ๆ อาจเกิดแผลไหม้และเสียชีวิต
5. ผลของความถี่เกิน 100 Hz กรณีขีดจำกัดความทนทานของการรับรู้เพิ่มขึ้นจาก 10
kHz ถึง 100 kHz ค่าขีดจำกัดการปล่อยหลุดเพิ่มขึ้นจาก 10
mA to 100 mA
รูปที่ 4 รูปผู้เสียชีวิตจากไฟฟ้าดูดเมื่อทำงานใกล้สายไฟฟ้าแรงสูงโดยไม่มีการป้องกันที่เหมาะสม
อาร์กหรือประกายไฟ เกิดขึ้นเมื่อมีกระแสไฟฟ้าสูงและกำลังไฟฟ้าสูง การอาร์กเป็นการปล่อยไฟฟ้าออกสู่อากาศออกมาเป็นแสง ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อมีแรงดันไฟฟ้าสูงตกคร่อมช่องว่างระหว่างตัวนำมีค่าสูงเกินค่าความคงทนของไดอิเล็กทริก (dielectric strength) ของอากาศ และมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านอากาศ เหตุการณ์ดังกล่าวมักมีสาเหตุมาจากแรงดันสูงเช่น จากฟ้าผ่า จากการสวิตชิ่ง จากความชำรุดของอุปกรณ์เนื่องจากการใช้งานไม่ถูกต้อง เป็นต้น
อาร์กจะแผ่รังสีออกไปทำให้ผู้ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงได้รับอันตรายเกิดแผลไฟไหม้ที่รุนแรงถึงแก่ชีวิตได้
รังสีความร้อนและแสงจ้า สามารถทำให้เกิดการไหม้ได้ ปัจจัยที่มีผลต่อระดับความรุนแรงของการบาดเจ็บมีหลายประการ เช่น สีผิว
พื้นที่ของผิวหนังที่สัมผัส และชนิดของเสื้อผ้าที่สวม
การลดความเสี่ยงของการไหม้ดังกล่าวสามารถทำได้โดยการใช้เสื้อผ้า
มีระยะห่างในการทำงาน และ การป้องกันกระแสเกิน ที่เหมาะสม
อาร์กจากไฟฟ้าแรงสูงสามารถทำให้ชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เป็นทองแดงและอะลูมิเนียมหลอมละลายได้
หยดโลหะหลอมเหลวดังกล่าวอาจถูกแรงระเบิดจากคลื่นความดันผลักให้กระเด็นไปเป็นระยะทางไกล
ๆ ได้ ถึงแม้ว่าหยดโลหะเหล่านี้จะแข็งตัวอย่างรวดเร็ว
แต่ก็ยังมีความร้อนเหลืออยู่มากพอที่จะทำให้เกิดการไหม้อย่างรุนแรงได้ หรือ
ทำให้เสื้อผ้าปกติทั่วไปลุกติดไฟได้ แม้ว่าจะอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุมากกว่า 3 เมตร แล้วก็ตาม
รูปที่ 5 ตัวอย่างการระเบิดของหม้อแปลงไฟฟ้า
จากอันตรายดังกล่าวซึ่งมีลักษณะการเกิดต่างกัน การป้องกันอันตรายจึงต้องใช้วิธีการและ/หรืออุปกรณ์ที่ต่างกัน ในการนำไปใช้ปฏิบัติจะต้องมีทั้ง “วิธีการป้องกันและมาตรการในทางปฏิบัติ” ควบคู่กันไปเพื่อให้การป้องกันครบถ้วนสมบูรณ์ พอสรุปได้ดังนี้
หลักการป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าดูด
ไฟฟ้าดูดคือการที่บุคคลมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่างกาย
การที่กระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านได้นั้นเพราะร่างกายสัมผัสกับส่วนที่มีไฟฟ้า
แบ่งลักษณะการสัมผัสได้เป็น 2 แบบ ดังนี้
1. การสัมผัสโดยตรง (direct contact) คือการที่ร่างกายมนุษย์สัมผัสกับส่วนที่มีแรงดันไฟฟ้าโดยตรง
เช่น มือจับสายไฟฟ้าส่วนที่มีแรงดันไฟฟ้า หรือส่วนของอุปกรณ์ที่เปิดโล่ง
โดยเท้ายืนบนพื้นดิน ทำให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่างกายระหว่างมือกับเท้า
เป็นการไหลครบวงจรทางไฟฟ้า
รูปที่ 6 ตัวอย่างการสัมผัสโดยตรง
(แหล่งที่มา: ลือชัย ทองนิล, ความปลอดภัยทางไฟฟ้าในสถานประกอบการ)
ในรูปที่ 6 สายอ่อนที่ต่อเข้าเครื่องใช้ไฟฟ้าฉนวนชำรุดมีไฟรั่ว เมื่อบุคคลสัมผัสจึงเกิดอันตรายจากไฟฟ้าดูด ถึงแม้ตัวเองจะสวมรองเท้าก็ตาม แต่เพราะแช่อยู่ในน้ำซึ่งเป็นสื่อไฟฟ้า
การป้องกันการสัมผัสโดยตรง
เป็นการป้องกันเบื้องต้นที่จะต้องปฏิบัติในการใช้ไฟฟ้าหรือทำงานกับไฟฟ้า
การป้องกันสามารถทำได้หลายวิธี
โดยอาจเลือกวิธีใดวิธีหนึ่งหรือหลายวิธีก็ได้ตามความเหมาะสม ดังนี้
· หุ้มฉนวนส่วนที่มีไฟ (insulation of live parts) เช่นการหุ้มฉนวนสายไฟฟ้า
· ป้องกันโดยมีสิ่งกั้นหรือตู้ (barrier or enclosures) เช่นตู้หรือแผงสวิตช์
· ป้องกันโดยมีสิ่งที่กีดขวาง (obstacles) เช่นลานหม้อแปลง
· ยกให้อยู่ในระยะที่เอื้อมไม่ถึง (placing out of reach) เช่นติดตั้งสายบนเสาไฟฟ้า
· ใช้อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล (personnel
protective equipment, PPE) เมื่อต้องทำงานกับไฟฟ้าขณะที่มีไฟ
· ใช้เครื่องตัดไฟรั่ว เป็นการป้องกันเสริม
หมายเหตุ เครื่องตัดไฟรั่วให้ใช้เป็นอุปกรณ์ป้องกันเสริมเนื่องจากอาจชำรุดได้ระหว่างการใช้งาน
เมื่อชำรุดก็ไม่สามารถป้องกันได้
2. การสัมผัสโดยอ้อม (indirect contact) คือการสัมผัสส่วนของอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ปกติไม่มีไฟ
แต่อาจมีไฟได้เมื่อเครื่องใช้ไฟฟ้ารั่วหรือชำรุด
โดยปกติเครื่องใช้หรือวัสดุอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เราสัมผัสจากการใช้งานตามปกติเป็นส่วนที่ถือว่าไม่มีไฟฟ้า
เช่น ส่วนโครงโลหะของมอเตอร์ไฟฟ้า และโครงโลหะของหม้อหุงข้าวไฟฟ้า เป็นต้น
แต่จากการชำรุดภายในของเครื่องใช้ไฟฟ้าทำให้มีไฟฟ้ารั่วออกมายังส่วนที่สัมผัส
เมื่อมีการสัมผัสจะมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่างกายลงดิน ครบวงจรทางไฟฟ้า
รูปที่ 7 ตัวอย่างการสัมผัสโดยอ้อมเนื่องจากไฟรั่วที่เครื่องซักผ้า
หลักการป้องกันอันตรายจากการสัมผัสโดยอ้อม มีดังนี้
· มีการต่อลงดินเปลือกหุ้มที่เป็นตัวนำและมีเครื่องปลดวงจรอัตโนมัติ
· ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดฉนวน 2 ชั้น หรือประเภท II (double
insulation)
· ใช้ในสถานที่ไม่เป็นสื่อตัวนำ (non-conducting location)
· ใช้ระบบไฟฟ้าที่แยกจากกัน (electrical separation) หรือระบบไม่ต่อลงดิน
· ใช้เครื่องตัดไฟรั่วเป็นการป้องกันเสริม
การป้องกันอันตรายทั้งสัมผัสโดยตรงและสัมผัสโดยอ้อม มีอยู่ 2 วิธี ดังนี้
· ใช้เครื่องใช้ที่มีแรงดันต่ำที่ไม่เกิน 50 V. (safety extra-low voltage หรือ SELV) โดยต่อผ่านหม้อแปลง safety
isolating transformer
· ใช้วิธีจำกัดพลังงาน (limitation of discharge
energy) วิธีนี้จะใช้วิธีจำกัดขนาดของกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านร่างกาย
ให้อยู่ในระดับที่จะไม่ทำอันตรายต่อมนุษย์
หลักการป้องกันอันตรายจากอาร์กและการระเบิด
อันตรายส่วนใหญ่เป็นอันตรายที่เกิดจากการทำงานกับหรือใกล้ส่วนที่มีไฟฟ้า โดยปกติผู้ปฏิบัติงานต้องพยายามหลีกเลี่ยงการทำงานในขณะที่มีไฟฟ้าหรืออยู่ในระยะห่างที่ปลอดภัย แต่ถ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ จะต้องเลือกใช้อุปกรณ์ความปลอดภัยที่เหมาะสม และมีมาตรการความปลอดภัยที่ดีด้วย ตามตารางที่ 1รูปที่ 8 ตัวอย่างอุปกรณ์ความปลอดภัยในงานไฟฟ้า
ตารางที่ 1
ตัวอย่างอุปกรณ์และมาตรการในทางปฏิบัติในป้องกันอันตรายจากไฟฟ้า
ลักษณะของอันตราย |
การใช้อุปกรณ์ |
มาตรการในทางปฏิบัติ (ใช้กับอันตรายทั้ง
3 แบบ) |
ไฟฟ้าดูด |
· อุปกรณ์หุ้มฉนวนยางรวมทั้งถุงมือที่ใช้ร่วมกับหนัง แขนเสื้อยาง
ผ้าห่มยาง ที่หุ้ม · เครื่องมือหุ้มฉนวน
เมื่อทำงานใกล้ตัวนำที่มีไฟฟ้า |
· ดับไฟฟ้าทุกวงจรและสายตัวนำที่อยู่ในพื้นที่ทำงาน · จัดทำและปฏิบัติตามวิธีการ lockout/tagout · รักษาระยะห่างในการทำงานที่ปลอดภัยจากส่วนที่มีไฟฟ้า · ใช้อุปกรณ์ความปลอดภัยเฉพาะอย่าง · ปฏิบัติตามวิธีการและข้อกำหนดความปลอดภัย · ตรวจสอบอุปกรณ์ทั้งหมดอย่างระมัดระวังก่อนนำกลับไปใช้งาน
การตรวจนี้รวมถึงเครื่องมือ อุปกรณ์ทดสอบ อุปกรณ์จ่ายไฟฟ้า
และชุดต่อลงดินเพื่อความปลอดภัย · ดำเนินการให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ที่ไม่มีไฟฟ้าได้มีการต่อลงดินแล้วอย่างเหมาะสม
วิธีการนี้ใช้กับทั้งการต่อลงดินของระบบไฟฟ้าปกติและการต่อลงดินเพื่อความปลอดภัย · ออกแบบและทบทวนระบบการออกแบบให้มีความปลอดภัยในตัวเอง |
ประกายไฟจากอาร์ก |
· สวมเครื่องนุ่งห่มชนิดทนไฟ · ใช้ชุดป้องกันประกายไฟ
เมื่อทำงานใกล้จุดที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอาร์กที่รุนแรง · ใช้เครื่องมือฮอทสติก (hot
sticks) และอยู่ในระยะห่างเท่าที่จะทำได้ · สวมใส่อุปกรณ์ปกป้องดวงตา · สวมถุงมือยางพร้อมหนัง
และ/หรือถุงมือป้องกันประกายไฟ |
|
ระเบิดจากอาร์ก |
· สวมเครื่องนุ่งห่มชนิดป้องกันประกายไฟ/เปลวไฟ
เพื่อป้องกันการกระเด็นของโลหะที่หลอมละลาย · สวมเครื่องนุ่งห่มชนิดป้องกันประกายไฟ
เมื่อที่ทำงานมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดอาร์ก
ซึ่งจะช่วยป้องกันกระเด็นของโลหะที่หลอมละลาย |
มาตรการป้องกัน
ชนิดของมาตรการที่ใช้ในการป้องกันอันตรายทั้ง 3 แบบ
จากไฟฟ้านั้นมีส่วนที่คล้ายกัน ในตารางที่ 1 เป็นการรวมมาตรการการป้องกันต่าง ๆ
ที่อาจนำมาใช้ได้ มีข้อสังเกตว่าข้อความในตารางที่ 1 เป็นเรื่องทั่ว ๆ ไป
การเลือกวิธีการและอุปกรณ์จะต้องพิจารณาให้ละเอียดลงไปอีก ข้อควรระวังคือในแต่ละวิธีการที่กำหนด
อาจไม่สามารถประยุกต์ใช้กับบางสถานการณ์ได้
แต่ละสถานประกอบการต้องกำหนดมาตรการของตนเองขึ้นมาใช้งานตามความเหมาะสม
และผู้มีหน้าที่ก็จะต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดด้วย
ตัวอย่างมาตรการที่อาจไม่สามารถประยุกต์ใช้ได้ มีดังนี้
· เมื่อมีการแก้ไขอุปกรณ์ การดับไฟฟ้าอาจไม่สามารถทำได้
· การดับไฟฟ้าอาจก่อให้เกิดอันตรายที่ยอมรับไม่ได้ตามมา ตัวอย่างเช่น
การดับไฟเป็นผลให้พัดลมระบายอากาศของสถานที่อันตรายหยุดทำงาน
กรณีนี้พนักงานก็อาจต้องทำงานขณะที่มีไฟ
· การดับไฟกับกระบวนการผลิตแบบต่อเนื่องเพื่อซ่อมอุปกรณ์ชิ้นเล็ก ๆ
อาจไม่คุ้มค่าในทางเศรษฐศาสตร์
ที่กล่าวมาทั้งหมด เป็นความรู้พื้นฐานและหลักการเบื้องต้นเพื่อให้ทราบถึงลักษณะของการเกิดอันตรายจากไฟฟ้าและแนวทางการป้องกันที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถทำความเข้าใจกับตัวมาตรฐานความปลอดภัยฯ ได้ง่ายขึ้น ในตอนต่อไปจะได้ลงในรายละเอียดของตัวมาตรฐานฯ พร้อมคำอธิบายประกอบเพื่อความเข้าใจและสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้อย่างถูกต้อง
อ้างอิง : http://www.bsa.or.th/TIP/มาตรฐานความปลอดภัยทางในไฟฟ้าในสถานที่ทำงาน-ตอนที่-1.html
ความคิดเห็น