เป็นทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายโอนกำลังไฟฟ้าจากแหล่งจ่าย ไปยังโหลดให้ได้กำลังงานที่โหลดมากที่สุด โหลดจะต้องมีค่าความต้านทานเท่าใด จึงจะสามารถถ่ายโอนกำลังไฟฟ้ามาได้มากที่สุด แต่ในวงจรไฟฟ้าจากแหล่งจ่ายไฟฟ้าออกมา ก็จะมีค่าความต้านทานต่างๆ อยู่หลายตัว กว่าจะถ่ายโอนกำลังออกมายังโหลด
จึงมีผู้คิดทฤษฎีการส่งถ่ายกำลังไฟฟ้าสูงสุดออกมา
โดยการคิดคำนวณค่าอาศัยหลักการของทฤษฎีเธวินิน คำนวณหาค่าแรงดันเธวินิน (Vth)
และความต้านทานเธวินิน (Rth) นำมาเขียนเป็นวงจรสมมูลของเธวินิน
เมื่อได้วงจรสมมูลของเธวินินแล้ว ก็ให้นำความต้านทานของโหลด (RL)
มาต่ออนุกรมเข้าไป และคิดคำนวณว่าโหลดต้องมีค่าความต้านทานเท่าใด
จึงจะทำให้มีกำลังงานเกิดที่โหลดมากที่สุด
จากการทดลองทำให้ทราบว่า
โหลดจะสามารถส่งถ่ายกำลังไฟฟ้าได้สูงสุด ก็ต่อเมื่อโหลดมีค่าความต้านทานเท่ากับค่าความต้านทานเธวินิน
หรือ RL
= Rth ดังตัวอย่าง
จากวงจรด้านบนเป็นวงจรสมมูลเธวินิน
1. กรณีที่เราให้โหลดมีความต้านทานเท่ากับความต้านทานเธวินิน
คือ 5 W เพื่อต้องการให้โหลดส่งถ่ายกำลังไฟฟ้าได้สูงสุด
จะคำนวณค่ากำลังของโหลดได้ ดังนี้
หากระแสที่ไหลในวงจร
หากำลังที่โหลด
P
=I2RL
= 12 x 5
= 1 x 5
= 5 W
ดังนั้นจะเห็นว่า เมื่อให้โหลดมีค่าเท่ากับความต้านทานเธวินิน
จะทำให้เกิดกำลังที่โหลด 5 W
2.
กรณีเราให้โหลดมีความต้านทานน้อยกว่าความต้านทานเธวินิน สมมติให้เท่ากับ 3 W เราจะคำนวณค่ากำลังของโหลดได้ ดังนี้
หากระแสที่ไหลในวงจร
หากำลังที่โหลด
P
= I2RL
= 1.252 x 3
= 1.5625 x 3
= 4.6875 W
ดังนั้นจะเห็นว่า เมื่อให้โหลดมีค่าน้อยกว่าความต้านทานเธวินิน
จะทำให้เกิดกำลังที่โหลด 4.6875 W
ซึ่งน้อยกว่าให้โหลดมีค่าเท่ากับความต้านทานเธวินิน
3.
กรณีเราให้โหลดมีความต้านทานมากกว่าความต้านทานเธวินิน สมมติให้เท่ากับ 8 W
เราจะคำนวณค่ากำลังของโหลดได้ ดังนี้
หากระแสที่ไหลในวงจร
หากำลังที่โหลด
P
= I2RL
= 0.772 x 8
= 0.5929 x 8
= 4.7432 W
ดังนั้นจะเห็นว่า เมื่อให้โหลดมีค่ามากกว่าความต้านทานเธวินิน
จะทำให้เกิดกำลังที่โหลด 4.7432 W ซึ่งน้อยกว่าให้โหลดมีค่าเท่ากับความต้านทานเธวินินเช่นกัน
จึงสรุปได้ว่า โหลดของวงจรจะส่งถ่ายกำลังไฟฟ้าได้สูงสุดเมื่อตัวมันมีค่าความต้านทานเท่ากับความต้านทานเธวินินของวงจร
ตัวอย่าง จากวงจรด้านล่าง จงหาว่าต้องต่อโหลดขนาดเท่าไร
จึงจะได้กำลังสูงสุด และจะได้กี่วัตต์
วิธีทำ
1. หาความต้านทานเธวินิน (ช๊อตแรงดัน และปลดโหลดออก หาความต้านทานที่จุดที่ปลดโหลดออก)
แนวทางการรวมความต้านทาน
จากรูปวงจร รวมความต้านทานได้ตามลำดับ ดังนี้
1. รวมความต้านทาน R1 ขนานกับ R2
2. นำความต้านทานรวมในข้อ 1 อนุกรมกับ R3
3. นำความต้านทานรวมในข้อ 2 ขนานกับ R4 จะได้ความต้านทานรวมทั้งหมด คือ Rth
หรือนำมาเขียนเป็นสูตรทางคณิตศาสตร์ได้ ดังนี้
Rth = ((R1 // R2) + R3) // R4
1. รวมความต้านทาน R1 ขนานกับ R2
2. นำความต้านทานรวมในข้อ 1 อนุกรมกับ R3
3. นำความต้านทานรวมในข้อ 2 ขนานกับ R4 จะได้ความต้านทานรวมทั้งหมด คือ Rth
หรือนำมาเขียนเป็นสูตรทางคณิตศาสตร์ได้ ดังนี้
Rth = ((R1 // R2) + R3) // R4
= ((30
// 30) + 15) // 15
= ((30 ¸
2) + 15) // 15
= (15 + 15) // 15
= 30 // 15
= (30 x 15) / (30 + 15)
=
450 // 45
=
10 W
2. หาแรงดันเธวินิน (ปลดโหลดออก หาแรงดันที่จุดที่ปลดโหลดออก)
I = E / R1 + (R2 // (R3 + R4))
= 150
/ 30 +(30 // (15 + 15))
= 150
/ 30 + (30 // 30)
= 150 / 30 + (30 ¸
2)
= 150 / 30 + 15
= 150 ¸ 45
=
3.33 A
V1
= IR1
= 3.33 x 30
= 100
V
V2
= E - V1
= 150 - 100
= 50 V
VR3
+ VR4 = V2
= 50 V
หา VR4 โดยใช้กฎการแบ่งแรงดัน
หา VR4 โดยใช้กฎการแบ่งแรงดัน
VR4
= V2 x (R2 / (R3 + R4)
= 50 x (15 / (15 + 15)
= 50 x (15 / 30)
= 50 x 0.5
= 25 V
หรือหา โดยใช้คุณสมบัติการแบ่งแรงดันของวงจรอนุกรม ที่กล่าวว่า ในวงจรอนุกรมแรงดันที่ตกคร่อมจะแบ่งตามค่าของความต้านทาน และถ้าความต้านทานเท่ากันจะแบ่งเท่ากัน
ดังนั้น ตามวงจร R3 และ R4 มีค่าเท่ากัน จึงแบ่งแรงดันที่ตกคร่อมเท่ากัน หาค่าได้ ดังนี้
VR4 = V2 / 2 = 50 / 2 = 25 V
หรือหา โดยใช้คุณสมบัติการแบ่งแรงดันของวงจรอนุกรม ที่กล่าวว่า ในวงจรอนุกรมแรงดันที่ตกคร่อมจะแบ่งตามค่าของความต้านทาน และถ้าความต้านทานเท่ากันจะแบ่งเท่ากัน
ดังนั้น ตามวงจร R3 และ R4 มีค่าเท่ากัน จึงแบ่งแรงดันที่ตกคร่อมเท่ากัน หาค่าได้ ดังนี้
VR4 = V2 / 2 = 50 / 2 = 25 V
Vth = VR4
= 25 V
3. นำ Vth และ Rth มาเขียนวงจรสมมูลเธวินิน และนำ RL ต่ออนุกรมเข้าไป
หากต้องการให้โหลดส่งถ่ายกำลังไฟฟ้าได้สูงสุด
ต้องให้โหลดมีค่าเท่ากับ Rth
ดังนั้น ต้องให้ RL = 10 W
และกำลังไฟฟ้าที่เกิดที่โหลดจะมีค่าเท่ากับ
P
=
I2RL
จากวงจร I = Vth /
(Rth + RL)
= 25
/ (10 + 10)
= 25 / 20
= 1.25 A
P
= 1.252 x 10
= 1.5625 x 10
= 15.625 W
ความคิดเห็น