ทรัพย์สินทางปัญญา หมายถึง ผลงานอันเกิดจากความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นทรัพย์สินอีกชนิดหนึ่ง นอกเหนือจากสังหาริมทรัพย์ คือ ทรัพย์สินที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ เช่น นาฬิกา รถยนต์ โต๊ะ เป็นต้น และอสังหาริมทรัพย์ คือ ทรัพย์สินที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ เช่น บ้าน ที่ดิน เป็นต้น
ประเภทของทรัพย์สินทางปัญญา
โดยทั่วๆ ไป
คนไทยส่วนมากจะคุ้นเคยกับคำว่า "ลิขสิทธิ์"
ซึ่งใช้เรียกทรัพย์สินทางปัญญาทุกประเภท
โดยที่ถูกต้องแล้วทรัพย์สินทางปัญญาแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ที่เรียกว่า ทรัพย์สินทางอุตสาหกรรม
และลิขสิทธิ์
ทรัพย์สินทางอุตสาหกรรม
ไม่ใช่สังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการผลิตสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ทางอุตสาหกรรม
แท้ที่จริงแล้ว ทรัพย์สินทางอุตสาหกรรมนี้
เป็นความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ที่เกี่ยวกับสินค้าอุตสาหกรรม
ความคิดสร้างสรรค์นี้จะเป็นความคิดในการประดิษฐ์คิดค้น
การออกแบบผลิตภัณฑ์ทางอุตสาหกรรม ซึ่งอาจจะเป็นกระบวนการ
หรือเทคนิคในการผลิตที่ได้ปรับปรุงหรือคิดค้นขึ้นใหม่
หรือที่เกี่ยวข้องกับตัวสินค้า
หรือผลิตภัณฑ์ที่เป็นองค์ประกอบและรูปร่างสวยงามของตัวผลิตภัณฑ์
นอกจากนี้ยังรวมถึงเครื่องหมายการค้าหรือยี่ห้อ ซื่อและถิ่นที่อยู่ทางการค้า
ที่รวมถึงแหล่งกำเนิดสินค้าและการป้องกันการแข่งขันทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม
ทรัพย์สินทางอุตสาหกรรม จึงสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
·
สิทธิบัตร (Patent)
·
เครื่องหมายการค้า (Trademark)
·
แบบผังภูมิของวงจรรวม (Layout - Designs Of Integrated Circuit)
·
ความลับทางการค้า (Trade Secrets)
·
สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indication)
ประเภททรัพย์สินทางปัญญา
ลิขสิทธิ์ หมายถึง
งานหรือความคิดสร้างสรรค์ในสาขาวรรณกรรม ศิลปกรรม ดนตรีกรรม งานภาพยนต์
หรืองานอื่นใดในแผนกวิทยาศาสตร์ลิขสิทธิ์ยังรวมทั้ง
·
สิทธิข้างเคียง (Neighbouring
Right) คือ การนำเอางานด้านลิขสิทธิ์ออกแสดง เช่น นักแสดง
ผู้บันทึกเสียงและสถานีวิทยุโทรทัศน์ในการบันทึกหรือถ่ายทอดเสียงหรือภาพ
·
โปรแกรมคอมพิวเตอร์ (Computer Program หรือ Computer Software) คือ ชุดคำสั่งที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์
เพื่อกำหนดให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงาน
·
งานฐานข้อมูล (Data
Base) คือ ข้อมูลที่ได้รับเก็บรวบรวมขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์ด้านต่างๆ
สิทธิบัตร หมายถึง หนังสือสำคัญที่รัฐออกให้เพื่อคุ้มครองการประดิษฐ์
(Invention) การออกแบบผลิตภัณฑ์ (Product Design) หรือ ผลิตภัณฑ์อรรถประโยชน์ (Utility Model) ที่มีลักษณะตามที่กฎหมายกำหนด
การประดิษฐ์ คือ
ความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับ ลักษณะองค์ประกอบ โครงสร้างหรือกลไกลของผลิตภัณฑ์ รวมทั้งกรรมวิธีในการผลิตการักษา
หรือปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์
การออกแบบผลิตภัณฑ์ คือ
ความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับการทำให้รูปร่างลักษณะภายนอกของผลิตภัณฑ์เกิดความสวยงาม
และแตกต่างไปจากเดิม
ผลิตภัณฑ์อรรถประโยชน์หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
อนุสิทธิบัตร (Petty Patent) จะมีลักษณะคล้ายกันกับการประดิษฐ์
แต่เป็นความคิดสร้างสรรค์ที่มีระดับการพัฒนาเทคโนโลยีไม่สูงมาก
หรือเป็นการประดิษฐ์คิดค้นเพียงเล็กน้อย
แบบผังภูมิของวงจรรวม หมายถึง
แผนผังหรือแบบที่ทำขึ้น เพื่อแสดงถึงการจัดวางและการเชื่อมต่อวงจรไฟฟ้า เช่น
ตัวนำไฟฟ้า หรือตัวต้านทาน เป็นต้น
เครื่องหมายการค้า หมายถึง
เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์หรือตราที่ใช้กับสินค้า หรือบริการ ได้แก่
·
เครื่องหมายการค้า (Trade Mark) คือเครื่องหมายที่ใช้เป็นที่หมายเกี่ยวข้องกับสินค้าเพื่อแสดงว่าสินค้าที่ใช้เครื่องหมายนั้นแตกต่างกับสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่น
เช่น โค้ก เป๊ปซี่ บรีส แฟ้บ เป็นต้น
·
เครื่องหมายบริการ (Service Mark) คือ
เครื่องหมายที่ใช้เป็นที่หมายหรือเกี่ยวข้องกับการบริการ
เพื่อแสดงว่าบริการที่ใช้เครื่องหมายนั้นแตกต่างกับบริการที่ใช้เครื่องหมายบริการของบุคคลอื่น
เช่น เครื่องหมายของสายการบิน ธนาคาร โรงแรม เป็นต้น
·
เครื่องหมายรับรอง (Certification mark) คือเครื่องหมายที่เจ้าของเครื่องหมายรับรองใช้เป็นที่หมายหรือเกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการของบุคคลอื่น
เพื่อเป็นการรับรองคุณภาพของสินค้า หรือบริการนั้น เช่น เชลล์ชวนชิม แม่ช้อยนางรำ
เป็นต้น
·
เครื่องหมายร่วม (Collective Mark) คือ
เครื่องหมายการค้าหรือเครื่องหมาบบริการที่ใช้โดยบริษัทหรือรัฐวิสาหกิจในกลุ่มเดียวกัน
หรือโดยสมาชิกของสมาคม กลุ่มบุคคล หรือองค์กรอื่นใดของรัฐหรือเอกชน เช่น
ตราช้างของบริษัทปูนซิเมนไทย จำกัด เป็นต้น
ความลับทางการค้า หมายถึง
ข้อมูลการค้าที่ยังไม่เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป
และมีมูลค่าในเชิงพาณิชย์เนื่องจากข้อมูลนั้นเป็นความลับ
และมีการดำเนินการตามความสมควรเพื่อรักษาข้อมูลนั้นไว้เป็นความลับ
ชื่อทางการค้า หมาถึง
ชื่อที่ใช้ในการประกอบกิจการ เช่น โกดัก ฟูจิ เป็นต้น
สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หมายถึง ชื่อ สัญลักษณ์ หรือสิ่งอื่นใดที่ใช้เรียกหรือใช้แทน
แทนแหล่งภูมิศาสตร์
และสามารถบ่งบอกว่าสินค้าที่เกิดจากแหล่งภูมิศาสตร์นั้นเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ
ชื่อเสียง หรือคุณลักษณะเฉพาะของแหล่งภูมิศาสตร์นั้น เช่น มีดอรัญญิก ส้มบางมด
ผ้าไหมไทย แชมเปญ คอนยัค เป็นต้น
ลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์
ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
พ.ศ.2537 "ลิขสิทธิ์ หมายความว่า
สิทธิแต่ผู้เดียวที่จะทำการใด ๆ
ตามพระราชบัญญัตินี้เกี่ยวกับงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ทำขึ้น" ดังนั้นการใช้ซอฟต์แวร์ที่ผู้อื่นสร้างขึ้นจำเป็นต้องได้รับการอนุญาตจากผู้สร้าง
โดยใบอนุญาต (license) นี้เป็นสัญญาระหว่างผู้สร้างกับผู้ใช้ซอฟต์แวร์
ใบอนุญาตเป็นการให้สิทธิผู้ใช้ในการใช้ซอฟต์แวร์ได้โดยไม่ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
ซึ่งผลก็คือใบอนุญาตทำหน้าที่เหมือนคำสัญญาว่าผู้สร้างจะไม่ฟ้องร้องผู้ใช้ในการใช้ซอฟต์แวร์ซึ่งถือเป็นสิทธิของผู้สร้างแต่เพียงผู้เดียว
ใบอนุญาตนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท
โดย Free Software Foundationได้แบ่งใบอนุญาตด้วยคำถาม 3
คำถามคือ
1. ใบอนุญาตนั้นมีคุณสมบัติเป็นใบอนุญาตซอฟต์แวร์เสรี
(free software license)
หรือไม่
2. ใบอนุญาตนั้นเป็นใบอนุญาตแบบ copyleft หรือไม่
3. ใบอนุญาตนั้นเข้ากันได้กับใบอนุญาต GPL หรือไม่
รู้หรือไม่
·
ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ ถือเป็นงานวรรณกรรม คือ งานนิพนธ์ที่ทำขึ้น
ได้รับการคุ้มครองแบบลิขสิทธิ์เท่านั้น ไม่สามารถนำไปขอจดสิทธิบัตร
·
ผลงานประเภทที่สามารถจดสิทธิบัตร (Patent) ได้ คือ สิ่งประดิษฐ์ (ยกตัวอย่างสิทธิบัตรที่นักศึกษาสืบค้นส่งอาจารย์)
และออกแบบผลิตภัณฑ์ (เช่น การออกแบบสี ลวดลาย รูปร่าง ของสิ่งของ เครื่องใช้
ที่มีคุณค่าในเชิงเศรษฐกิจ
·
ในกรณีที่ไม่ได้ทำสัญญาระหว่างกัน
เมื่อลูกจ้างทำการเขียนซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ขึ้น ซอฟต์แวร์นั้นย่อมเป็นลิขสิทธิ์ของลูกจ้าง
แต่บริษัทสามารถนำซอฟต์แวร์ออกเผยแพร่ หรือจำหน่ายได้
ตามวัตถุประสงค์ของการจ้างงานนั้น
·
หากเจ้าของขายลิขสิทธิ์ให้ผู้อื่นแล้ว
ก็ยังสามารถแสดงตนว่าเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานลิขสิทธิ์นั้นได้
·
เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกจ้างของบริษัทนำซอฟต์แวร์หรือผลงานลิขสิทธิ์ที่คิดขึ้นขณะที่เป็นลูกจ้างของเราออกไปหาผลประโยชน์
บริษัทจะต้องให้ลูกจ้างเซ็นสัญญษยกลิขสิทธิ์ในผลงานทุกอย่าง
ที่ทำขึ้นขณะเป็นลูกจ้างของเราให้แก่บริษัท
·
หากบริษัทคู่แข่งสร้างซอฟต์แวร์ที่มีวิธีการทำงานเหมือนกับซอฟต์แวร์ที่บริษัทเราสร้างขึ้นมาก่อน
บริษัทคู่แข่งไม่ได้ละเมิดลิขสิทธิ์ของเรา เพราะ สิ่งที่ไม่ใช่งานลิขสิทธิ์ เช่น
ความคิด ขั้นตอน กรรมวิธี ระบบ หลักการ วิธีใช้หรือทำงาน ทฤษฎี แนวความคิด การค้นพบ
ข่าวประจำวัน เป็นต้น
·
ถ้าถูกจับได้ว่าละเมิดลิขสิทธิ์ต้องเสียค่าละเมิดลิขสิทธิ์ให้กับเจ้าของลิขสิทธิ์
·
เมื่อพัฒนาซอฟต์แวร์หรือเว็บไซต์เสร็จ จะได้รับการคุ้มครองทันที
โดยไม่ต้องไปทำการจดทะเบียนกับกรมทรัพย์สินทางปัญญา
แต่เราสามารถไปจดแจ้งลิขสิทธิ์ไว้ได้ เพื่อเป็นการแจ้งให้ผู้อื่นรับทราบ
·
การดัดแปลงซอฟต์แวร์
โดยได้รับอนุญาตถือว่าไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
·
หากมีผู้มาทำการดัดแปลง คัดลอกซอฟต์แวร์ของบริษัท
ทางบริษัทสามารถเอาผิดกับบุคคลเหล่านั้นได้โดยการดำเนินคดีตามกฎหมายได้ทันที
แต่บางครั้ง อาจเจรจายอมความได้ หรือเรียกเก็บค่าลิขสิทธิ์ก็ได้
·
บทลงโทษเกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์ คือ การละเมิดลิขสิทธิ์โดยตรง
เช่น ทำซ้ำ ดัดแปลง : มีโทษปรับ 20,000
- 200,000 บาท หากทำเพื่อการค้า มีโทษจำคุก 6 เดือน
ถึง 4 ปี หรือปรับ 100,000 - 800,000 บาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ การละเมิดลิขสิทธิ์โดยอ้อม (สนับสนุนให้เกิดการละเมิด) :
มีโทษปรับ 10,000 - 100,000 บาท หากทำเพื่อการค้า มีโทษจำคุก
3 เดือน ถึง 2 ปี หรือ 50,000
- 400,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
·
หากเป็น บุคคลธรรมดา
ผลงานลิขสิทธิ์จะได้รับการคุ้มครองตลอดชีวิตผู้สร้างสรรค์ + 50 ปี หากเป็น นามแฝง/นิติบุคคล จะได้รับการคุ้มครอง 50 ปี นับแต่สร้างสรรค์
·
หากผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เสียชีวิตลงสิทธิในการครอบครองลิขสิทธิ์นั้นจะตกแก่ทายาท(ในระยะเวลาไม่เกิน
50 ปี)
·
งานที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เพราะอายุแห่งการคุ้มครองสิ้นสุดลง
หากนำมารวบรวม ผู้ทำการรวบรวมสามารถเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์นั้นได้
·
ข่าวประจำวันและข้อเท็จจริงต่างๆที่มีลักษณะเป็นเพียงข่าวสารเมื่อนำไปเผยแพร่ต่อ
ถือว่าไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
·
ถ้ามีผู้ว่าจ้างให้พัฒนาซอฟต์แวร์ โดยมีสัญญาว่าจ้าง
ผลงานที่ได้เป็นของผู้ว่าจ้าง ผู้ถูกว่าจ้างนำไปขายต่อให้แก่องค์กรอื่นไม่ได้
·
เมื่อเจ้าของลิขสิทธิ์เสียชีวิตลง จะได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์นั้นต่อไปอีก
50 ปี
หลังจากเสียชีวิต
·
การติชมหรือวิจารณ์ผลงานที่มีลิขสิทธิ์ ถือว่าไม่ละเมิดลิขสิทธิ์
·
เมื่อซื้อซอฟต์แวร์ หากทำซ้ำ เพื่อป้องกันการสูญหายหรือเสียหาย(Back up) ไม่ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
ที่มา : https://www.blognone.com/node/10891
ความคิดเห็น